น้องมีบุญ ชวนทำบุญวัดดัง ในตำนาน พระพุทธรูปลอยน้ำ 5 พี่น้อง


“ฟ้าใหม่แล้วล่ะนะน้อง สงกรานต์เร้าร้องทำนองเพลงโทน” ช่วงนี้ไปไหน เพื่อนๆ คงได้ยินเพลงนี้ ที่บอกให้เรารู้ว่าเข้าสู่เทศกาลสงกรานต์ หรือปีใหม่ไทยแล้ว โดยคำว่า “สงกรานต์” นั้นมาจากภาษาสันสกฤต แปลว่า ผ่าน หรือเคลื่อนย้าย อันหมายถึง การย้ายของพระอาทิตย์ไปยังจักรราศีใดราศีหนึ่ง แต่ความหมายที่คนไทยนิยมใช้อ้างอิงถึง จะกล่าวเฉพาะวัน และเวลาที่พระอาทิตย์เคลื่อนเข้าสู่ราศีเมษในเดือนเมษายน นอกจากนั้น ยังมีเรื่องราวของนางสงกรานต์ ซึ่งเป็นธิดาของท้าวกบิลพรหม หรือท้าวมหาสงกรานต์ ซึ่งธิดาทั้ง 7 นั้นเป็นนางฟ้าอยู่สวรรค์ มีหน้าที่ในการรับศีรษะของท้าวกบิลพรหมแก่รอบพระสุเทรุในแต่ละปี สลับสับเปลี่ยนกันไป กำหนดไว้หากวันมหาสงกรานต์ตรงกับวันใดก็ให้นางสงกรานต์ประจำวันนั้นเป็นผู้แห่ และในปี พ.ศ.2567 นี้ ตรงกับวันเสาร์ นางสงกรานต์จึงเป็น มโหธรเทวี ทัดดอกสามหาว ทรงพาหุรัด อาภรณ์ด้วยแก้วนิลรัตน์ ภักษาหารคือเนื้อทราย พระหัตถ์ขวาทรงจักร พระหัตถ์ซ้ายทรงตรีศูล เสด็จมาบนหลังมยุรา ทำนายได้ว่าน้ำน้อย พายุจัด ฝนแล้ง ข้าวกล้าในนาจะได้ผลกึ่งเสียกึ่ง บ้านเมืองเกิดความไม่สงบสุขเท่าไรนัก ทั้งหมดนี้ เราอาจจะทำบุญเพื่อความสบายใจ สะสมบุญไว้ตั้งแต่เริ่มปีใหม่ไทย ทำได้ง่ายๆ

  1. สแกน QR Code ทำบุญทันใจ
  2. กด “ยอมรับ” ให้ธนาคารที่เกี่ยวข้องเปิดเผยข้อมูลรายการนี้ ให้แก่ กรมสรรพากร และ/หรือ หน่วยรับบริจาค เพื่อการใช้สิทธิลดหย่อนภาษี
  3. ใส่จำนวนเงินบริจาค กดปุ่มยืนยัน เพียงเท่านี้ เงินก็จะถูกส่งไปเข้าบัญชีของวัดโดยตรง

ข้อมูลบริจาคที่ส่งไปกรมสรรพากรจะถูกนำไปใช้สิทธิลดหย่อนภาษี โดยเราสามารถคลิกดูรายละเอียดข้อมูลที่บริจาค E-Donation ไปแล้ว ที่เว็บไซต์กรมสรรพากรได้ตลอด 24 ชั่วโมง ง่ายสะดวกทันใจ สายบุญยุคดิจิทัล สามารถเลือกวัดที่ต้องการทำบุญเพิ่มเติม ผ่านการ สแกน QR Code และ SCB EASY APP ได้ที่ >> https://www.scb.co.th/th/personal-banking/other-services/e-donation/e-donation-religious-sites.html

และวันนี้ น้องมีบุญขอพาทุกคนไปทำบุญร่วมกัน กับพระพุทธรูปลอยน้ำศักดิ์สิทธิ์ 5 พี่น้องในตำนาน เพื่อความร่มเย็นเป็นสุขรับปีใหม่ไทยกันค่ะ

มีตำนานกล่าวว่า กาลครั้งหนึ่งมีพี่น้องชาวเมืองเหนือ 5 คน บวชเป็นพระภิกษุในบวรพระพุทธศาสนา ได้สำเร็จเป็นพระอริยบุคคลชั้นโสดาบัน มีฤทธิ์อำนาจทางจิตมาก ได้พร้อมใจกันตั้งสัจจะอธิษฐานว่า “เกิดมาชาตินี้จะขอบำเพ็ญบารมีช่วยสัตว์โลกให้พ้นทุกข์ แม้ตายไปแล้ว ก็จะสร้างบารมีช่วยสัตว์โลกให้พ้นทุกข์ต่อไป จนกว่าจะถึงซึ่งนิพพาน”ครั้นพระอริยบุคคลทั้งห้าองค์นี้ดับขันธ์ไปแล้ว ก็เข้าสถิตอยู่ในพระพุทธรูปทั้งห้าองค์ จึงพากันแสดงฤทธิ์ปาฏิหาริย์ให้พระพุทธรูปทั้งห้าองค์ลอยน้ำมาทางใต้ตามแม่น้ำสายหลักของภาคกลางทั้ง 5 สาย

บางตำนานก็กล่าวไว้ว่า การที่พระพุทธรูปทั้ง 5 ลอยน้ำมานี้ ก็เพราะเมื่อคราวเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่ 2 ข้าศึกได้เผาไฟเพื่อหลอมเอาทองที่หล่อจากองค์พระพุทธรูป ชาวบ้านเองก็ต้องการจะรักษาพระพุทธรูปไว้ จึงเอาปูนบ้าง รักดำบ้าง ไปพอกไว้บางตำนานก็กล่าวไว้ว่า การที่พระพุทธรูปทั้ง 5 ลอยน้ำมานี้ ก็เพราะเมื่อคราวเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่ 2 ข้าศึกได้เผาไฟเพื่อหลอมเอาทองที่หล่อจากองค์พระพุทธรูป ชาวบ้านเองก็ต้องการจะรักษาพระพุทธรูปไว้ จึงเอาปูนบ้าง รักดำบ้าง ไปพอกไว้ที่องค์พระเพื่อให้ดูไม่สวยงามและปกปิดความมีค่าไว้จากข้าศึก แต่เมื่อไม่อาจปกป้องได้ไหวจึงขนย้ายพระพุทธรูปสำคัญลงแพไม้ไผ่ล่องมาตามแม่น้ำเพื่อไม่ให้ข้าศึกทำลาย ด้วยน้ำหนักขององค์พระ เมื่อวางพระลงบนแพไม้ไผ่จึงดูเหมือนพระพุทธรูปลอยมาตามน้ำ จนผู้ที่พบเห็น ถือเป็นเรื่องปาฏิหาริย์ที่พระพุทธรูปองค์ใหญ่น้ำหนักมากจะสามารถจะลอยน้ำได้




วัดบางพลีใหญ่ใน

วัดเก่าแก่ของอำเภอบางพลี จังหวัดสมุทรปราการ สร้างขึ้นในสมัยสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ปีพ.ศ.2310 เพื่อเป็นอนุสรณ์สถานแห่งชัยชนะ โดยเมื่อสมเด็จพระนเรศวรมหาราชทรงกอบกู้อิสรภาพให้กับไทยได้อีกครั้ง และได้ขยายอาณาเขตประเทศ และสาเหตุที่ได้ชื่อว่า “บางพลี” นั้น เนื่องจากพระองค์ได้ทรงกระทำพิธี พลีกรรมบวงสรวงนั้นเอง จึงเป็นที่มาของชื่อวัดในสมัยอดีตว่า “วัดพลับพลาไชยชนะสงคราม” โดยที่นี่ ยังเป็นที่ประดิษฐาน “หลวงพ่อโต” พระพุทธรูปปางมารวิชัย สมัยสุโขทัย เป็นทองสำริดทั้งองค์ หน้าตักกว้าง 3 ศอก 1 คืบ ลืมพระเนตร ตามตำนานเล่าสืบต่อกันว่า เมื่อประมาณ 200 ปีก่อน ได้มีพระพุทธรูป 3 องค์ลอยตามน้ำเจ้าพระยาลงมาจากทางเหนือ ชาวบ้านเข้าใจว่า ชาวบ้านกรุงศรีอยุธยาอาจจะอาราธนาท่านลงสู่แม่น้ำ เพื่อหลบหนีข้าศึก เพราะในสมัยนั้นมีศึกสงครามบ่อยครั้ง ต่อมาพระพุทธรูปทั้ง 3 องค์ ได้ไปปรากฏยังสถานที่ต่างๆ องค์แรก ประดิษฐานอยู่ ณ วัดบ้านแหลม จังหวัดสมุทรสงคราม องค์ที่สองประดิษฐานที่วัดโสธร จังหวัดฉะเชิงเทรา และองค์สุดท้ายได้ลอยตามลำน้ำเจ้าพระยา เข้าสู่คลองสำโรง ชาวบ้านพยายามจะอาราธนาขึ้นที่นั่น แต่ทำอย่างไรก็ไม่ขึ้น จนได้ลองเสี่ยงทายโดยการใช้แพผูกชะลอองค์พระ และอธิษฐานว่า "หากท่านประสงค์จะขึ้นโปรดที่ใดก็ขอจงได้แสดงอภินิหารให้แพที่ลอยมาจงหยุด ณ ที่นั้นเถิด" จนแพมาหยุดนิ่งที่วัดพลับพลาไชยชนะสงคราม ชาวบ้านจึงพากันอธิษฐานว่าหากหลวงพ่อโปรดจะคุ้มครองชาวบางพลี ก็ให้อาราธนาท่านขึ้นโดยง่าย ซึ่งก็เป็นไปดั่งคำอธิษฐาน จึงเป็นที่มาของการประดิษฐานหลวงพ่อโต ณ วัดแห่งนี้

ที่อยู่ 130 หมู่ที่ 10 ตำบลบางพลีใหญ่ อำเภอบางพลี จังหวัดสมุทรปราการ

https://goo.gl/maps/aHvzNX8YTw3Rqc3K8




วัดเขาตะเครา

วัดเก่าแก่ที่ไม่ปรากฏแน่ชัดว่าสร้างขึ้นในสมัยใด แต่จากบทระพันธ์ “เพลงยาวหม่อมพิมเสน” ในสมัยอยุธยา มีปรากฏชื่อ “วัดเขาดิน” ที่เป็นชื่อเดิมของวัดเขาตะเครา และต่อมายังปรากฏในนิราศเมืองเพชรของกวีเอกสุนทรภู่ ถึงความศักดิ์สิทธิ์ของพระพุทธรูปที่คนทั่วไปเรียกว่า “หลวงพ่อเขาตะเครา หรือหลวงปู่ทองวัดเขาตะเครา” ซึ่งได้ประพันธ์ไว้เมื่อพ.ศ.2375 โดยชื่อวัดเขาตะเคราแห่งนี้ สร้างด้วยจิตศรัทธาจากเจ้าสัวชาวจีนที่ได้พระพุทธรูปมา จึงได้สละทรัพย์สร้างขึ้นโดยให้ลูกน้องชาวจีนเป็นผู้ควบคุมงาน และผู้ควบคุมงานนี้เป็นคนไว้หนวดเครายาว ชาวบ้านจึงพากันเรียกว่า วัดเขาจีนเครา แต่ในเวลาต่อมาการออกเสียงได้เปลี่ยนจาก “จีน” เป็น “ตา” และจากสระอา กลายเป็นสระอะ จึงได้เป็นคำว่า วัดเขาตะเครา วัดแห่งนี้เป็นที่ประดิษฐานหลวงพ่อวัดเขาตะเครา เป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัย หรือปางคุ้มมาร สูง 29 นิ้ว หน้าตักกว้าง 21 นิ้ว ภายนอกเห็นเป็นปูนปั้นลาย ภายในองค์พระเป็นทองคำ หรือทองสัมฤทธิ์ เมื่อประมาณปี พ.ศ.2302 สมัยปลายกรุงศรีอยุธยา ชาวบ้านแหลมจังหวัดเพชรบุรี ได้อพยพหนีข้าศึกพม่าไปตั้งบ้านเรือนอยู่ปากคลองแม่กลอง สมุทรสงคราม ใกล้วัดร้างชื่อ วัดศรีจำปา ชาวบ้านแหลมที่อพยพไปอยู่บริเวณนั้นได้ช่วยกันก่อสร้างขึ้นมาใหม่ ชื่อว่า “วัดแหลม หรือวัดบ้านแหลม” ชาวบ้านส่วนใหญ่ซึ่งประกอบอาชีพประมงได้ออกไปลากอวนหาปลาน้ำตื้นบริเวณชายฝั่งทะเลปากอ่าว บังเอิญปากอวนได้สะดุดติดกับวัตถุใต้น้ำซึ่งทุกครั้งเข้าใจว่าเป็นตอไม้แต่ครั้งนี้ได้ช่วยกันลงไปงมวัตถุที่ติดกับปากอวนขึ้นมาปรากฏว่าสิ่งที่งมได้นั้น เป็นพระพุทธรูป 2 องค์ องค์แรกเป็นพระพุทธรูปปางอุ้มบาตร สูง 6 ฟุต อีกองค์หนึ่งเป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัยสูง 29 นิ้ว หน้าตักกว้าง 21 นิ้ว จึงนำพระพุทธรูปทั้งสององค์ ไปประดิษฐานไว้ที่โรงมุงด้วยจากข้างหมู่บ้านก่อน ต่อมาเมื่อสร้างวัดเสร็จจึงนำพระพุทธรูปองค์ยืน ปางอุ้มบาตรนั้นประดิษฐานที่วัดนั้นและเรียกชื่อพระพุทธรูปว่า “หลวงพ่อวัดบ้านแหลม หรือ หลวงพ่อบ้านแหลม” ตามชื่อของชาวบ้านนั้น ต่อมาวัดบ้านแหลมได้สถาปนาเป็นพระอารามหลวงชื่อว่า “วัดเพชรสมุทรวรวิหาร”ส่วนพระพุทธรูปองค์นั่งปางมารวิชัยชาวบ้านได้นำมาประดิษฐานไว้ที่วิหารบนยอดเขาตะเครา และเรียกกันว่า “หลวงพ่อวัดเขาตะเครา” ตั้งแต่บัดนั้นเป็นเวลานานกว่าสองร้อยปี พุทธศาสนิกชนทั้งหลายต่างเคารพนับถือล่ำลือในความศักดิ์สิทธิ์มาเป็นเวลานานได้มานมัสการปิดทององค์หลวงพ่อกันมากโดยมิได้มีการลอกทองคำที่ปิดออกเลยนับเป็นเวลาร้อยๆ ปี กระทั่ง ตา หู จมูก มองไม่เห็นเลยองค์ท่านกลมเหมือนลูกฝัก จึงเรียกว่า “หลวงพ่อทองวัดเขาตะเครา”

ที่ตั้ง 1004 ตำบล บางครก อำเภอ บ้านแหลม เพชรบุรี 76110

https://maps.app.goo.gl/4zFEC3jHxegEJqf26




วัดโสธรวรารามวรวิหาร

วัดเก่าแก่ที่สร้างมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยาตอนปลาย รัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช โดยแต่เดิมชื่อว่า “วัดหงษ์” โดยเป็นที่ประดิษฐานหลวงพ่อพุทธโสธร พระพุทธรูปปูนปั้นปางสมาธิ หน้าตักกว้าง 1.65 เมตร สูง 1.98 เมตร เป็นงานฝีมือกลุ่มล้างช้าง โดยตามตำนานเล่าว่า องค์พระพุทธรูปหล่อสำริดปางสมาธิหน้าตักกว้างศอกเศษ มีรูปทรงสวยงามมาก ได้แสดงปาฏิหาริย์ลอยน้ำมา และมีผู้อัญเชิญขึ้นมาประดิษฐานที่วัดแห่งนี้ แต่พระสงฆ์ในวัดเกรงจะมีผู้มาลักพาไปจึงได้เอาปูนพอกเสริมหุ้มองค์เดิมไว้จนมีลักษณะที่เห็นในปัจจุบัน

เดิมที หลวงพ่อพุทธโสธรประทับอยู่ในโบสถ์หลังเก่าที่มีขนาดเล็ก รวมกับพระพุทธรูปอื่น ๆ 18 องค์ ต่อมาปี พ.ศ. 2509 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช เสด็จราชดำเนินมาที่วัดแห่งนี้และมีพระราชปรารภเรื่องความคับแคบของพระอุโบสถเดิม พระพรหมคุณาภรณ์ (จริปุณโญ ด. เจียม กุลละวณิชย์) อดีตเจ้าอาวาสจึงได้รวบรวมเงินบริจาคเพื่อจัดซื้อที่ดินสำหรับสร้างพระอุโบสถหลังใหม่ โดยสร้างขึ้นครอบพระอุโบสถหลังเดิม โดยใช้เทคนิควิศวกรรมสมัยใหม่ โดยไม่มีการเคลื่อนย้ายองค์หลวงพ่อพุทธโสธร และพระพุทธรูปทั้ง 18 องค์ งานออกแบบด้านสถาปัตยกรรม โดยนายประเวศ ลิมปรังษี งานด้านวิศวกรรมโครงสร้าง โดย สำนักออกแบบนายอรุณ ชัยเสรี

ศิลปะภายในพระอุโบสถหลวงพ่อพุทธโสธร ประกอบด้วยภาพจิตรกรรมฝาผนังโดยรอบ นับตั้งแต่พื้นพระอุโบสถ เสา ผนัง และเพดานจะบรรจุเรื่องราวให้เป็นแดนแห่งทิพย์ เป็นเรื่องราวของสีทันดรมหาสมุทร จตุโลกบาล สวรรค์ชั้นดาวดึงส์ พรหมโลก ดวงดาว และจักรวาล โดยตำแหน่งของดวงดาวบนเพดาน กำหนดตำแหน่งตรงกับวันที่ 5 กันยายน พ.ศ. 2539 ณ เวลาที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงประกอบพิธียกยอดฉัตรทองคำ

ด้วยความศักดิ์สิทธิ์ของหลวงพ่อ ทำให้ผู้คนมักมาขอพร และเมื่อสมหวังก็จะมาถวายไข่ต้มยังอย่างเนืองแน่นเสมอ

ที่ตั้ง 134 ถนน เทพคุณากร ตำบล หน้าเมือง อำเภอเมืองฉะเชิงเทรา ฉะเชิงเทรา 24000

https://maps.app.goo.gl/GJWdeuUSeoDVoqww5




วัดเพชรสมุทรวรวิหาร (วัดบ้านแหลม)

ชื่อเดิมของวัดแห่งนี้ คือ วัดศรีจำปา สร้างขึ้นตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา โดยสมเด็จพระเจ้าปราสาททอง มีตำนานเล่าว่า เมื่อปีพ.ศ. 2307 ชาวบ้านแหลมได้อพยพมาตั้งบ้านเรือนบริเวณแม่กลอง เหนือวัดศรีจำปา และเรียกหมู่บ้านนี้ว่า “บ้านแหลม” ตามชื่อหมู่บ้านเดิมที่เมืองเพชรบุรีที่จากมา และช่วยกันบูรณะวัดศรีจำปา เพื่อเป็นศูนย์รวมจิตใจของพุทธศาสนิกชน และเปลี่ยนชื่อวัดศรีจำปา เป็น วัดบ้านแหลม ซึ่งต่อมาได้รับการยกฐานะขึ้นเป็นพระอารามหลวงชั้นวรวิหาร และได้รับพระราชทานนามใหม่ว่า วัดเพชรสมุทรวรวิหาร

หลวงพ่อบ้านแหลม เป็นพระพุทธรูปยืน ปางอุ้มบาตร มีความสูง 2 เมตร 80 เซนติเมตร สร้างขึ้นในสมัยอยุธยาตอนต้น ยุคเดียวกับหลวงพ่อโสธร และหลวงพ่อโตวัดบางพลี โดยหลวงพ่อบ้านแหลมเป็นหนึ่งในตำนานพระ 5 องค์ที่ลอยน้ำมา อันได้แก่ หลวงพ่อบ้านแหลม หลวงพ่อโสธร หลวงพ่อโตวัดบางพลีใหญ่ หลวงพ่อวัดเขาตะเครา และหลวงพ่อวัดไร่ขิง

พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชศรัทธา เสด็จนมัสการ และพระราชทานผ้าทอดิ้นทอง 2 ผืนเพื่อประดับไว้ที่องค์พระในวันสำคัญ เช่น วันสงกรานต์ วันที่วัดถวายกฐิน ต่อมาสมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระยาภาณุพันธ์วงศ์วรเดช ได้ถวายบาตรแก้วสีน้ำเงิน เนื่องจากบาตรเดิมได้สูญหายในทะเลเมื่อคราวที่ชาวประมงลากอวนพบหลวงพ่อลอยมาในแม่น้ำแม่กลอง

ภายในบริเวณวัดยังมีพิพิธภัณฑ์สงฆ์ ที่จัดแสดงพระพุทธรูป พระเครื่องสมัยต่างๆ โบราณวัตถุ เครื่องลายคราม และธรรมมาสน์บุษบกสมัยกรุงศรีอยุธยา

สำหรับใครที่อยากเสริมอำนาจบารมี ให้มีแต่สิริมงคลในชีวิต ก็มักจะมาสักการะปิดทองคำเปลว และตั้งจิตอธิษฐานขอพรจากองค์หลวงพ่อกัน หากผู้ใดสมหวังดังใจปรารถนาแล้ว ก็จะกลับมาแก้บนด้วยการจ้างคณะละครรำ ให้มารำถวายองค์หลวงพ่อ

ที่ตั้ง ตำบลแม่กลอง อำเภอเมืองสมุทรสงคราม จังหวัดสมุทรสงคราม

https://goo.gl/maps/pw5khNEEZqyGSWoo9




วัดไร่ขิง

วัดเก่าแก่ตั้งอยู่ที่ริมแม่น้ำท่าจีน หรือแม่น้ำนครชัยศรี สร้างขึ้นตั้งแต่ปี พ.ศ. 2394 โดยพระธรรมราชานุวัตร (พุก) ซึ่งต่อมาได้รับการสถาปนาสมศักดิ์เป็นพระพุฒาจารย์ (พุก) โดยในขณะนั้นท่านดำรงตำแหน่งเป็นเจ้าอาวาสวัดศาลาปูนวรวิหาร แต่ได้กลับมาสร้างวัดไร่ขิง ซึ่งเป็นบ้านของบิดามารดา แต่วัดไม่ทันได้สร้างเสร็จ สมเด็จพระพุฒาจารย์ (พุก) ก็มรณภาพไปก่อนในปี พ.ศ. 2427 และได้มีผู้มาดูแลต่อคือพระธรรมราชานุวัตร ซึ่งเป็นหลานชายของท่าน สำหรับที่มาของชื่อวัดไร่ขิงนั้น เนื่องจากในบริเวณนี้มีชาวจีนมาตั้งรกรากเป็นจำนวนมาก และนิยมปลูกขิงกันอย่างแพร่หลาย ชาวบ้านจึงพากันเรียกชุมชนนี้ว่า “ไร่ขิง” เมื่อมีการสร้างวัด จึงตั้งตามชื่อหมู่บ้านว่า “วัดไร่ขิง” นั่นเอง

ภายในบริเวณวัดมีพระอุโบสถเป็นที่ประดิษฐานหลวงพ่อวัดไร่ขิง พระพุทธรูปปางมารวิชัย ขนาดหน้าตักกว้าง 4 ศอก 2 นิ้วเศษ สูง 4 ศอก 16 นิ้วเศษ บนฐานชุกชี 5 ชั้น อัญเชิญมาจากวัดศาลาปูน ล่องมาด้วยแพไม้ไผ่ทางแม่น้ำ เมื่อถึงวัดไร่ขิงจึงได้อัญเชิญมาประดิษฐานไว้ภายใน ซึ่งวันดังกล่าว ตรงกับวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 5 เป็นวันสงกรานต์ที่มีประชาชนมากมายมาทำบุญที่วัด ว่ากันว่า ในปะรำพิธีได้เกิดความอัศจรรย์ขึ้น แสงแดด และความร้อนระอุได้พลันหายไป เกิดเป็นเมฆดำ มีฝนฟ้าคะนอง และเป็นสายฝนลงมาให้ความชุ่มฉ่ำชื่นใจ ประชาชนที่มาในงานจึงแซ่ซ้องว่า “หลวงพ่อจะทำให้เกิดความร่มเย็นเป็นสุข ดับความร้อนร้าย คลายความทุกข์ให้หมดไป ดุจสายฝนที่เมทนีดลให้ชุ่มฉ่ำ เจริญงอกงามด้วยธัญญาหาร แต่ก็มีบางตำนานที่เล่าขานว่าหลวงพ่อวัดไร่ขิงนั้น เป็น 1 ใน 5 ของพระพุทธรูปลอยน้ำ หรือปัญจภาคี ปาฏิหาริย์กระสินธุ์โน

และเมื่อปี พ.ศ. 2446 สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส วัดบวรนิเวศวิหาร กรุงเทพฯ เสด็จตรวจเยี่ยมวัดในเขตอำเภอสามพราน และได้เสด็จมาที่วัดไร่ขิง จึงทรงตั้งชื่อวัดใหม่ว่า “วัดมงคลจินดาราม” ทั้งทรงใส่วงเล็บชื่อเดิมต่อท้ายจึงกลายเป็น “วัดมงคลจินดาราม (ไร่ขิง)” แต่เมื่อเวลาผ่านพ้นมานานทำให้วงเล็บหายไป เหลือเพียงคำว่า “ไร่ขิง” จึงต้องเขียนว่า “วัดมงคลจินดาราม-ไร่ขิง” แทน

ที่ตั้ง ตำบลไร่ขิง อำเภอสามพราน จังหวัดนครปฐม

https://goo.gl/maps/hwUSp8H1g4v9YeTQ9