ป้องกันรถหาย ทำอย่างไรดี

การจะมีรถเป็นของตัวเองสักคัน สำหรับใครบางคน ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะเป็นสินค้าราคาสูง กว่าจะเก็บเงินซื้อ หรือแค่เก็บเงินดาวน์ ก็เป็นรื่องที่หลายคนต้องเก็บเงินกันอย่างหนัก


ดังนั้นไม่แปลกใจที่ผู้คนบ้านเรารักรถยนต์อย่างมาก เอาใจใส่ดูแลอย่างดี เพื่อให้สามารถใช้งานได้ยาวนาน แต่ขณะเดียวกันปัญหาหนึ่งที่กวนใจอยู่ตลอดก็คือ ปัญหารถถูกโจรกรรม


เทคโนโลยี ป้องกันได้จริงหรือ

แม้ว่าปัจจุบันรถยนต์รุ่นต่างๆ  จะพัฒนาระบบป้องกันการโจรกรรม ไม่ว่าจะเป็นสัญญาณกันขโมย กุญแจอิมโมบิไลเซอร์ที่ออกแบบให้กุญแจกับรถมีรหัสตรงกันจึงจะสตาร์ทได้ หากเป็นกุญแจอื่น หรือแม้แต่กุญแจที่เจ้าของรถนำไปปั๊มเพิ่ม ก็ใช้ไม่ได้เช่นกัน หรือ ระบบพุชสตาร์ท ที่สตาร์ทเครื่องโดยไม่ต้องเสียบกุญแจ


รวมไปถึงอุปกรณ์ป้องกันการโจรกรรมที่มีผู้ผลิตออกมาจำหน่ายจำนวนมาก เช่น ล็อคพวงมาลัย ล็อคเกียร์ ล็อคเบรก ล็อคคลัทช์ แต่ก็ยังพบว่าเกิดเหตุโจรกรรมเกิดขึ้นบ่อยครั้ง ถ้าโอกาสอำนวยให้กับหัวขโมย

เลือกที่จอดรถ แนวทางป้องกันที่ดี

ที่บอกว่า “ถ้าโอกาสอำนวย”  หมายถึงแม้ว่าเหล่าหัวขโมยจะสามารถปลดล็อค แงะ ตัด ทุบ หรือหยอดด้วยน้ำกรดอุปกรณ์ป้องกันต่างๆ ได้ แต่ถ้ารถมีอุปกรณ์ป้องกัน ก็สร้างความยากลำบากเพิ่มขึ้น ไม่ให้ขโมยไปได้ง่ายๆ ต้องออกแรง และต้องใช้เวลา


แต่ถ้าโอกาสอำนวย คือ  มีเวลา และอยู่ในสถานที่ที่ทำงานได้สะดวก ก็ไม่รอดมือหัวขโมยเหมือนกัน


ดังนั้นสิ่งที่เจ้าของรถควรทำ คือ เพิ่มความยุ่งยากให้มากที่สุด อุปกรณ์ และเทคโนโลยีที่ติดมากับรถเป็นสิ่งที่ดีอยู่แล้ว และถ้าไม่เหลือบ่ากว่าแรง ไม่รู้สึกเป็นภาระ หรือรู้สึกว่าเกะกะ ก็ควรจะติดตั้งอุปกรณ์ป้องกันเพิ่มอย่างน้อยสัก 1 อย่าง แต่สำคัญควรเลือกสินค้าที่มีคุณภาพมาตรฐาน ใช้อุปกรณ์หรือวัสดุที่เหมาะสม แข็งแรงทนทาน


เพราะยิ่งมีอุปกรณ์หลายชิ้น หัวขโมยก็ต้องใช้เวลาเพิ่มขึ้น และหากประเมินแล้วว่าเสียเวลา ก็อาจจะเปลี่ยนใจ ไปเลือกรถคันอื่นแทน


ที่สำคัญก็คือ การเลือกที่จอดรถ มีผลอย่างมากต่อการตัดสินใจลงมือเพราะหากเป็นที่ลับตาคน ที่มืด ก็ทำให้โจรทำงานได้สะดวก แต่ถ้าอยู่ในพื้นที่ที่ไม่เอื้อ เช่น แหล่งคนพลุกพล่าน สว่าง มีกล้องวงจรปิด ก็ทำให้หัวขโมยคิดหนัก และเปลี่ยนใจได้


จอดรถ ล็อครถ ก็เสี่ยงถูกโจรกรรม ได้

ด้วยความที่รถส่วนใหญ่ในปัจจุบันมีระบบเซ็นทรัลล็อค และกุญแจรีโมท  บ่อยครั้งที่หลายคนติดนิสัยกดล็อค โดยไม่มองรถ


ซึ่งต้องระมัดระวัง เพราะเคยมีภาพจากกล้องวงจรปิดบันทึกไว้ได้ ว่าหัวขโมยแกล้งเดินป้วนเปี้ยนใกล้รถ เมื่อเห็นว่าเจ้าของรถกำลังจะกดรีโมทโดยไม่มองรถรถ ก็ใช้จังหวะนั้น เอื้อมมือไปแง้มประตูบานหนึ่งไว้ก่อนที่เจ้าของรถจะกดปุ่มล็อคแค่เสี้ยววินาที เพียงแค่นี้ก็สามารถเข้าไปในรถได้ง่ายๆ แล้ว

ลงจากรถไม่ดับเครื่องยนต์ อันตราย

รถที่ถูกโจรกรรม ไม่ได้เกิดกับรถขณะที่จอดเพียงอย่างเดียว แต่หลายครั้งที่เราได้ยินข่าวว่าเกิดเหตุขณะที่รถติดเครื่องยนต์อยู่ ซึ่งกรณีนี้เป็นความประมาทของเจ้าของรถอย่างแท้จริง


เหตุการณ์ลักษณะนี้ที่เคยเป็นข่าว คือ จอดในปั๊มเพื่อเข้าห้องน้ำ จอดกดเงินหน้าตู้เอทีเอ็ม จอดแวะซื้อของข้างทาง จอดหน้าบ้านเพื่อปิด-เปิดประตูบ้าน เป็นต้น


ต้นเหตุสำคัญของเหตุการณ์เหล่านี้คือ เจ้าของรถคิดว่าแค่ลงจากรถแป๊บเดียวเท่านั้น จึงไม่ดับเครื่องยนต์ แต่ลืมไปว่า หัวขโมยที่จ้องอยู่ ก็ใช้เวลาแป๊บเดียวเช่นกัน ในการโดดขึ้นรถแล้วขับหนีไป โดยไม่ต้องเสียเวลามางัดแงะ ตัดต่อระบบ แต่อย่างใด


ดังนั้นจำไว้ว่าทุกครั้งที่ผู้ขับลงจากรถ จะต้องดับเครื่องยนต์ และนำกุญแจติดตัวไปด้วยเท่านั้น แม้ว่าในเวลานั้นจะมีคนนั่งอยู่ในรถก็ตาม โดยเฉพาะถ้าเป็นเด็ก หรือผู้สูงอายุ ที่ไม่สามารถสู้รบปรบมือกับหัวขโมยได้ อาจจะกลายเป็นเรื่องบานปลายมากขึ้น เพราะไม่ใช่แค่รถที่ถูกขโมยไป แต่ชีวิตคนในรถตกก็อยู่ในอันตรายด้วย


อุปกรณ์ติดตามตำแหน่งรถ จำเป็นแค่ไหน

เมื่อหลายคนเห็นว่าระบบและอุปกรณ์ต่างๆ ไม่สามารถป้องกันขโมยได้ 100% ควรมองหาอุปกรณ์ติดตาม ที่เรียกว่า “จีพีเอส แทรคกิ้ง” ซึ่งเป็นระบบคนหาตำแหน่งรถ หากไม่เดือดร้อนเรื่องค่าใช้จ่ายอะไร จะติดอุปกรณ์นี้ก็เป็นการช่วยเพิ่มโอกาสในการติดตามรถคืนมาได้มากขึ้น


ทั้งหมดนี้คือ แนวทางการป้องกันที่ควรทำ แต่ขึ้นชื่อว่าขโมย ก็คือ ขโมย ไม่ว่าเทคโนโลยีจะพัฒนาแค่ไหน ขโมยก็จะพัฒนาตัวเองเช่นกัน ดังนั้นสิ่งที่เจ้าของรถควรจำไว้ให้มั่นก็คือ ต้องไม่ประมาท และหาทางป้องกันทุกวิถีทาง อีกอย่างที่ไม่ควรมองข้าม คือ การทำประกัน ที่ครอบคลุมการโจรกรรม ก็จะทำให้อุ่นใจในการใช้รถเพิ่มขึ้นอีกไม่น้อยทีเดียว