หลังจากการลาออก

เรื่อง: ใบพัด ภาณุมาศ ทองธนากุล


Hi-Lights:

  • สิ่งที่ดีที่สุดที่ผมทำในช่วงที่ยังรู้สึกแย่กับชีวิตตัวเองก็คือ นั่งทำแผนเลยว่า ชีวิตที่เราอยากให้เป็น มันเป็นแบบไหน? ลองนึกภาพไปเลยว่า อีกซัก 5 ปี ชีวิตที่เราชอบ หน้าตามันเป็นอย่างไร ถ้าเราได้อยู่ในชีวิตแบบนั้นแล้วจะรู้สึกดีแค่ไหน จากนั้นก็จดบันทึกไว้อย่างละเอียด ให้เสมือนเป็นธงที่เราปักไว้ ให้เห็นแต่ไกลๆ ว่า เราอยากเดินไปในทิศทางไหน
  • พยายามทำให้ชีวิตตัวเองมีความเคลื่อนไหว เปลี่ยนแปลงการใช้เวลาว่างของตัวเองโดยไม่ต้องไปกะเก็งมากว่า มันจะพาเราไปสุดทางที่ตรงไหน เอาว่าแค่เชื่ออยู่ลึกๆ ว่า เอาน่า ถ้าทำแบบเดิม ก็ได้ชีวิตแบบเดิม แต่ถ้าปฏิวัติยกเครื่องกิจกรรมในชีวิตใหม่ เดี๋ยวชีวิตจะพาเราไปสู่บทใหม่ที่น่าอ่านเอง เช่น เลิกติดตามประเด็นดราม่าที่ชวนให้หดหู่โกรธแค้น เปลี่ยนจากการบ่นพร่ำเพรื่อมาเป็นการหาเรื่องน่าขอบคุณที่เกิดขึ้นในทุกๆ วัน พาตัวเองไปรู้จักคนใหม่ๆ


จะทำมาหากินในกรุงเทพฯ แบบไม่ทุกข์เกินไปนัก เราจำเป็นต้องมีความสตรองในระดับสูงพอสมควร


เพราะคงต้องยอมรับว่า ระบบต่างๆ ในมหานครแห่งนี้ ไม่ค่อยเอื้อกับความสุขกายสบายใจของคนทำงานส่วนใหญ่ ลำพังเหนื่อยคนเหนื่อยงานที่ออฟฟิศก็ว่าสาหัสแล้ว ไปกลับทุกวันยังต้องเผชิญกับระบบขนส่งมวลชนที่ยังไม่สมบูรณ์ที่ต้องพยายามดิ้นรนเอาตัวรอดกันตามยถากรรม ใครที่บ้านอยู่ชานเมืองหน่อย หรืออยู่ในซอยลึกๆ กว่าจะได้ออกจากซอยไปรอคิวขึ้นรถตู้ ต้องทนยืนเบียดอัดไปบนรถไฟฟ้าในช่วงเวลาเร่งด่วน การคืบคลานไปทำงานแต่ละวันกินเวลาเป็นชั่วโมงๆ ซึ่งการมีรถส่วนตัวก็ไม่ได้ได้เปรียบไปกว่ากัน อุตส่าห์ทุ่มทุนซื้อรถไปหลายแสน ประกันอีกปีละเป็นหมื่น ค่าทางด่วนค่าน้ำมันอีกเดือนละหลายพัน หวังว่าชีวิตจะสบาย แต่ถ้าวันไหนฝนตกรถติดหนักๆ แล้วละก็ เรียกได้ว่าอยู่ในสภาพซมซานตั้งแต่เริ่มสแกนนิ้วเข้างาน แถมเลิกงานแล้วก็ยังต้องเจอสภาพแบบเดิม กว่าจะถึงบ้านก็สะบักสะบอมเต็มที


แล้วพอชีวิตหมดเวลาไปกับการทำงานวันละ 8-9 ชั่วโมง บวกกับเจอรถติดไปกลับวันละเกือบ 4 ชั่วโมง จะเหลือเวลาให้ตัวเองซักเท่าไหร่ แล้วชีวิตที่ปรารถนาซึ่งอยากไขว่คว้ามา เมื่อไหร่กันที่จะมีโอกาสได้สัมผัส

boring-life-331566752

ใครเจอชีวิตแบบนี้ก็คงอยากบ่นๆๆ เพื่อระบาย เพราะเหมือนจะหนีไปไหนไม่ได้ บ้าน-รถก็ยังต้องผ่อน ความฝันที่มี...คงต้องยัดใส่ลิ้นชักชั้นล่างสุดไปก่อน


แต่ถ้าเราเชื่อซะแล้วว่าทุกอย่างมันจะซ้ำวนแบบนี้อีกวันแล้ววันเล่า เราจะเอาแรงที่ไหนไปต่อสู้ หมดหวังกันพอดี


หากชีวิตคนเราเป็นดั่งหนังสือ สิ่งละอันพันละน้อยที่เกิดขึ้นในแต่ละวันก็คือเรื่องเล่าที่ค่อยๆ เผยออกมา เรื่องราวชีวิตของผมเมื่อสิบกว่าปีก่อนเรียกได้ว่าเป็นเรื่องราวที่แสนจะน่าเบื่อ ไม่น่าติดตาม เป็นเรื่องของพนักงานออฟฟิศที่ไม่มีความสุข เงินก็ไม่พอใช้ ร่างกายก็ไม่แข็งแรง ป่วยบ่อย ความสัมพันธ์กับครอบครัวก็ไม่ค่อยดี ผมไม่ชอบชีวิตตัวเองแบบนั้นเลย แต่เมื่อพิจารณาดูชีวิตทุกวันนี้ มันแตกต่างไปจากวันนั้นอย่างมาก ผมได้ทำงานที่รัก มีชีวิตครอบครับที่ดี ซึ่งจุดเปลี่ยนสำคัญที่เปลี่ยนชีวิตผมก็คือ วันที่ผมพบว่า หนังสือทั่วไป เราอาจเป็นได้เพียงผู้รออ่าน แต่กับบทบันทึกเรื่องราวในชีวิตเรา เรามีสิทธิอันชอบธรรมในการเขียนสิ่งที่เราอยากอ่านได้!


หากบทชีวิตของเราเดินเรื่องมาถึงตอนที่น่าเบื่อ ยาวย้วย อ่านแล้วไม่มีความสุข สิ่งแรกที่ต้องทำคือ อย่าปล่อยให้ตัวเองห่อเหี่ยวเหงาหงอย อยู่ไปแบบเซ็งๆ ชีวิต มันก็แค่อีกบทหนึ่งที่เราต้องผ่านไป เราจะไม่ปล่อยให้มันเป็นแบบนี้ไปจนจบแน่ น่าเบื่อตายเลย


สิ่งที่ควรทำคือ พยายามปลูกความหวังให้เกิดขึ้นทีละน้อยว่า “ชีวิตมันจะดีขึ้นกว่านี้แน่!” แม้ดูสภาพการณ์ต่างๆ แล้วอาจยังไม่เห็นหนทางเลยว่าอะไรๆ จะดีขึ้น แต่ความหวังและกำลังใจดีๆ แบบนี้จำเป็นอย่างยิ่งกับสุขภาพจิต ซึ่งเราจำต้องสร้างมันขึ้นมา เหมือนการเข้าฟิตเนสเพื่อสร้างความแข็งแกร่งให้กล้ามเนื้อ


จงลงมือทำอะไรซักอย่างที่จะทำให้เรื่องราวในบทต่อไปค่อยๆ เผยออกมา


โปรดทำชีวิตให้มี Next Chapter!


สิ่งที่ดีที่สุดที่ผมทำในช่วงที่ยังรู้สึกแย่กับชีวิตตัวเองก็คือ นั่งทำแผนเลยว่า ชีวิตที่เราอยากให้เป็น มันเป็นแบบไหน? ลองนึกภาพไปเลยว่า อีกซัก 5ปี ชีวิตที่เราชอบ หน้าตามันเป็นอย่างไร ถ้าเราได้อยู่ในชีวิตแบบนั้นแล้วจะรู้สึกดีแค่ไหน จากนั้นก็จดบันทึกไว้อย่างละเอียด ให้เสมือนเป็นธงที่เราปักไว้ ให้เห็นแต่ไกลๆ ว่า เราอยากเดินไปในทิศทางไหน

จากนั้นก็พยายามทำให้ชีวิตตัวเองมีความเคลื่อนไหว เปลี่ยนแปลงการใช้เวลาว่างของตัวเองโดยไม่ต้องไปกะเก็งมากว่า มันจะพาเราไปสุดทางที่ตรงไหน เอาว่าแค่เชื่ออยู่ลึกๆ ว่า เอาน่า ถ้าทำแบบเดิม ก็ได้ชีวิตแบบเดิม แต่ถ้าปฏิวัติยกเครื่องกิจกรรมในชีวิตใหม่ เดี๋ยวชีวิตจะพาเราไปสู่บทใหม่ที่น่าอ่านเอง เช่น เลิกติดตามประเด็นดราม่าที่ชวนให้หดหู่โกรธแค้น เปลี่ยนจากการบ่นพร่ำเพรื่อมาเป็นการหาเรื่องน่าขอบคุณที่เกิดขึ้นในทุกๆ วัน พาตัวเองไปรู้จักคนใหม่ๆ ลองลงเรียนคอร์สต่างๆ ไม่ว่าจะเรียนภาษา คอร์สสอนทำอาหาร หรือไม่ก็ลองพาตัวเองไปยังสถานที่ๆ ไม่เคยไป ลองอาสาเป็นล่ามให้เพื่อนต่างชาติ ลองเลือกหนังสือหรือหนังที่เราสนใจซักหมวดแล้วต่อยอดอ่านผลงานของคนที่เราชอบไปเรื่อยๆ


สิ่งที่ผมได้เรียนรู้จากการทำสิ่งเหล่านั้นก็คือ สิ่งใหม่ๆ ที่เริ่มทำวันนี้อาจไม่ได้ส่งผลเปลี่ยนแปลงแบบฉับพลันทันใด แต่เมื่อมองย้อนกลับไป สิ่งต่างๆ ที่ตระเตรียมไว้สำหรับ Next Chapter ตลอดหลายปีที่ผ่านมา มันจะเชื่อมโยงเข้าหากันเมื่อโอกาสประจวบเหมาะ เช่นเดียวกับเรื่องราวที่เราอาจเคยได้ยินจากใครหลายๆ คนที่เรียกสิ่งที่เขาพบเจอในชีวิตว่าเป็นความบังเอิญที่แสนมหัศจรรย์ ที่การเริ่มทำสิ่งหนึ่ง แต่ในที่สุดกลับเชื่อมโยงไปสู่อีกสิ่ง ซึ่งผมเชื่อเหลือเกินว่าหลายๆ คนอาจเคยมีประสบการณ์ในการได้สัมผัสความเชื่อมโยงทำนองนี้ ที่ชีวิตขยับจากจุดหนึ่งไปอีกสู่จุดที่ดีขึ้น ล้วนมาจากการปูทางเล็กๆ น้อยๆ ในบทชีวิตบทก่อน


ใครจะไปรู้ การที่คุณไปลงเรียนเวิร์กช้อปศิลปะที่สนใจอาจทำให้ได้เจอกับใครซักคนที่อาจเป็นผู้ส่งข่าวดีที่นำพาความเปลี่ยนแปลงมาสู่ชีวิต หรือการพาตัวเองไปยังที่แปลกๆ เราอาจไปได้ยินบางประโยคที่ช่วยเปิดประตูแห่งโอกาส และช่วยพาเราไปในที่ๆ เราไม่เคยนึกถึง ให้เป็นบทชีวิตใหม่ที่ท้าทาย และน่าอ่าน


การเปลี่ยนแปลงในชีวิตจะค่อยๆ ก่อร่างสร้างตัวด้วยเมล็ดพันธุ์ที่คุณหว่านเอาไว้ มันจะค่อยๆ งอกงามขึ้นในยามที่คุณไม่ทันสังเกต เมื่อถึงเวลาของมัน ดอกผลจะเบ่งบาน


ไม่ว่าสิ่งที่เจอในวันนี้จะหนักหนาแค่ไหน ขอจงเชื่อว่า สุดท้าย ชีวิตจะจบลงด้วยดี


ถ้ามันยังไม่ดี ก็แสดงว่ามันยังไม่จบ เราจะไม่ยอมให้มันจบลงในบทที่น่าเบื่อ ที่แม้แต่ตัวเรายังไม่อยากอ่าน


เรายังมีเวลาที่จะทำมันให้ดีขึ้น ชีวิตยังขึ้นป้าย To be continued รอเรา

เพื่อบทต่อไปที่น่าอ่าน...ที่ทุกคนรออยู่