วิธีวางแผนเพื่อทริปกินจนตัวแตก (และกระเป๋าไม่ฉีกไปเสียก่อน)

เรื่อง: บองเต่า ไชยณัฐ สัจจะปรเมษฐ


Hi-Lights :

  • หนึ่งในร้านที่ต้องจองล่วงหน้านานที่สุดในโลก คือร้าน El Cellar de Can Roca ในประเทศสเปน ที่ต้องจองที่นั่งล่วงหน้าถึง 11 เดือน
  • สำหรับใครที่ยังไม่กล้าทุ่มงบกับการกินแบบสุดตัว หรือเวลาเที่ยวมีจำกัดไม่อยากเสียเวลาในร้านอาหารนานเกินไป ผมขอแนะนำว่าให้ลองเช็กดูว่าร้านที่เราอยากไป มีเปิดมื้อเที่ยงด้วยหรือเปล่า เพราะมื้อเที่ยงนั้นเป็นทางเลือกที่ดีมาก เพราะโดยเฉลี่ยแล้วราคาจะถูกกว่ามื้อเย็นเกือบครึ่ง และมักจะเป็นเซ็ทที่ใช้เวลาเสิร์ฟสั้นกว่ามื้อเย็น ส่วนมากจะเสร็จเรียบร้อยภายในสองชั่วโมง ทำให้ไม่เสียเวลาเที่ยวมากเกินไปด้วย

ในยุคที่โซเชียลมีเดียเฟื่องฟู และการหยิบกล้องก่อนหยิบช้อนกลายเป็นเรื่องปกติ ทำให้โลกนี้ได้มีคำเรียกกลุ่มคนประเภทใหม่คือ “foodie” ที่แปลว่า คนที่มีความสนใจหรือความรู้ด้านอาหารมากเป็นพิเศษ หรือถ้าพูดกันในอีกมุมนึงก็คือ คนที่มีเรื่องกินเป็นเรื่องใหญ่ในชีวิต จะกินอะไรก็ต้องเลือกคัดสรรก่อนจะหยิบเข้าปาก จะซี้ซั้วกินอะไรให้อ้วนฟรีไม่ได้ และร้านไหนที่ว่าอร่อยเด็ด ไม่ว่าจะไกลขนาดไหนก็ไม่ได้เป็นอุปสรรคต่อการเดินทางข้ามน้ำข้ามทะเล หรือแม้แต่ข้ามโลกไปลิ้มลอง


ครับ... ที่เล่ามาทั้งหมด ผมคิดว่าผมก็เป็นหนึ่งในคนที่ถือเรื่องกินเป็นเรื่องใหญ่ โดยเฉพาะเวลาเที่ยวครับ


บ่อยครั้งที่ผมไปเที่ยว โดยไม่ได้วางแผนมากมายว่าจะไปเที่ยวที่ไหน ต้องไปดูอะไร หรือเข้าพิพิธภัณฑ์อะไรบ้าง แต่กลับวางแผนเรื่องร้านอาหารไว้เป็นอย่างดี เพราะหลายร้านต้องจองล่วงหน้า หรือบางทีต้องมีแผนสำรองกันเหนียวไว้อีกชั้นว่าถ้าไม่ได้กินร้านนี้จะไปร้านไหนแทน เพราะในสมัยนี้นักท่องเที่ยวสายฟู้ดดี้ ที่เที่ยวโดยมีเรื่องกินเป็นจุดหมายหลักมีแนวโน้มมากขึ้นทั่วโลก (ตัดภาพไปที่คิวหน้าร้านผัดไทยประตูผีที่มีแต่คนต่างชาติ นั่นแหละครับ ที่กำลังพูดถึง) การได้กินอาหารในร้านดีๆ บางร้าน อาจกลายเป็นเรื่องยากอย่างที่เราคาดไม่ถึงถ้าเราวางแผนไม่ดีพอ

โดยปกติแล้ว ร้านอาหารที่ดีและดัง มีรางวัลเกียรติยศประดับรับประกันความอร่อยหลายสำนัก ไม่ว่าจะเป็นสำนักมิชลินของฝรั่งเศส หรือสำนักทาเบะล๊อก (Tabelog) ของญี่ปุ่น มักจะต้องจองล่วงหน้าเสมอครับ ยิ่งดังยิ่งต้องจองล่วงหน้านาน ในบ้านเราวัฒนธรรมการจองที่นั่งในร้านอาหารอาจจะยังไม่แพร่หลายมาก บางคนอาจจะรู้สึกว่าการจองร้านอาหารล่วงหน้าเป็นเดือนนี่ฟังดูเว่อร์ไปหรือเปล่า แต่จริงๆ แล้วการจองที่นั่งในร้านอาหารนับเป็นเรื่องปกติมากในหลายๆ ประเทศ ตัวอย่างเช่น หนึ่งในร้านที่ต้องจองล่วงหน้านานที่สุดในโลก คือร้าน El Cellar de Can Roca ในประเทศสเปน ที่ต้องจองที่นั่งล่วงหน้าถึง 11 เดือน ในระหว่างที่ผมเขียนบทความนี้อยู่ ผมลองเข้าไปเช็กในเว็บไซท์ของร้านอีกครั้ง ก็ช่วยยืนยันได้ว่าเป็นเรื่องจริง เพราะที่นั่งในร้านเต็มทุกวัน ทุกเดือนล่วงหน้าไปจนถึงกลางปีหน้าเรียบร้อยแล้ว


ร้านบางส่วนจะมีเปิดระบบให้จองออนไลน์ ซึ่งถ้าร้านไหนเปิดระบบนี้ก็ง่ายขึ้น เพราะเราสามารถจองเองได้เลย แต่ระบบนี้ก็มีข้อเสียเพราะความง่ายของมัน หลายคนจองแล้วก็เท จองแล้วลืม ซึ่งส่งผลเสียต่อร้านอาหารมาก เพราะเสียโอกาสในการรับลูกค้า และวัตถุดิบอาหารที่เตรียมไว้ก็อาจจะต้องทิ้งไป จึงทำให้ยังมีหลายร้านที่ยังคงยึดมั่นใช้ระบบอันเก่าแก่และเรียบง่าย คือการโทรศัพท์เข้าร้านไปจองเท่านั้น หากใครมาสายกินหรูอยู่สบาย นอนโรงแรมห้าดาวก็ไม่ใช่ปัญหานัก เพราะสามารถใช้บริการของ Concierge ให้ช่วยโทรจองจัดการให้ได้ ซึ่งหลายโรงแรมนั้นขึ้นชื่อว่ามี Concierge ที่เก่งและมีสายสัมพันธ์ที่ดีกับร้านอาหารคิวทองที่เต็มตลอดเวลา สามารถโทรไปควานหาที่นั่งมาได้ราวกับเสกมา ส่วนอีกทางเลือกที่ผมใช้บริการเป็นประจำ คือบริการเลขาส่วนตัว ที่เป็นบริการเสริมของบัตรเครดิตบางประเภท เราสามารถโทรแจ้งชื่อร้านอาหาร เบอร์ติดต่อ และวันที่เราต้องการจะไปได้เลย แล้วทางทีมผู้ให้บริการจะจัดการติดต่อจองร้านอาหารให้เองครับ นับว่าสะดวกมากเพราะเราไม่ต้องเสียเงินค่าโทรศัพท์ทางไกลเอง


ร้านอาหารที่ดังและดี ส่วนมากก็มาพร้อมกับสนนราคาตามคุณภาพ กล่าวคือ มักจะเป็นภัยต่อสุขภาพกระเป๋าสตางค์และบัญชีเงินฝากของเราพอสมควร สำหรับใครที่ยังไม่กล้าทุ่มงบกับการกินแบบสุดตัว หรือเวลาเที่ยวมีจำกัดไม่อยากเสียเวลาในร้านอาหารนานเกินไป ผมขอแนะนำว่าให้ลองเช็กดูว่าร้านที่เราอยากไป มีเปิดมื้อเที่ยงด้วยหรือเปล่า เพราะมื้อเที่ยงนั้นเป็นทางเลือกที่ดีมาก เพราะโดยเฉลี่ยแล้วราคาจะถูกกว่ามื้อเย็นเกือบครึ่ง และมักจะเป็นเซ็ทที่ใช้เวลาเสิร์ฟสั้นกว่ามื้อเย็น ส่วนมากจะเสร็จเรียบร้อยภายในสองชั่วโมง ทำให้ไม่เสียเวลาเที่ยวมากเกินไปด้วย


ส่วนร้านอาหารร้านเด็ดเจ้าที่ไม่รับจอง รับเฉพาะลูกค้าหน้าร้านอย่างเดียว ซึ่งส่วนมากจะเป็นร้านระดับกลางๆ บ้านๆไม่ต้องมีพิธีรีตองอะไรมาก แต่รสชาติอร่อยล้ำเกินตัว ร้านแบบนี้ก็มีทั้งข้อดีและข้อเสียนะครับ ข้อดีก็คือ ยังไงก็ได้กินแน่ๆ ถ้าร้านไม่ปิด แต่ข้อเสียคือ ที่ว่าได้กินแน่ๆ นั้น ต้องแลกมาด้วยการยืนรอนั่งรอหน้าร้าน ซึ่งสถิติการยืนรอหน้าร้านอาหารของผมที่นานที่สุดคือเกือบสามชั่วโมง และโดยเฉลี่ยการยืนรอคิวร้านดังๆ ไม่ว่าจะที่ไหนในโลก ผมขอให้เผื่อใจไว้อย่างต่ำหนึ่งชั่วโมงเป็นอย่างน้อยนะครับ เราจึงต้องชั่งน้ำหนักให้ดีว่าร้านนั้นคุ้มกับการยืนรอหรือเปล่า และยิ่งเป็นช่วงฤดูหนาว การยืนรอนอกร้านจนมือแข็งหูแข็งนี่อาจจะกลายเป็นความทรมานที่ไม่คุ้มค่า เพราะทั้งหนาวแล้วยังเสียเวลาเที่ยวอีกต่างหาก

ถ้าถามหลักการวางแผนกินของผมเวลาไปเที่ยว จะมีสามเรื่องที่ผมยึดเป็นหลักสำหรับทุกทริป ไม่ว่าจะไปที่ไหนก็ตาม


หนึ่ง – กินให้หลากหลาย คือผมจะพยายามจัดให้ร้านอาหารในทริปเดียวกันมีตั้งแต่ร้านหรูอลังการที่คิดว่าชีวิตนี้อาจจะมาได้ไม่บ่อย ไปจนถึงร้านสามัญบ้านเรือนที่ไม่ต้องจอง ไม่ต้องปูผ้าขาว ซึ่งบ่อยครั้งที่ร้านแบบนี้ละครับที่จะกลายเป็นร้านที่ประทับใจที่สุดในทริปได้


สอง - ความยืดหยุ่น ถึงเรื่องกินจะเป็นเรื่องใหญ่มาก แต่การได้เดินทางต่างประเทศนั้นยังมีอะไรให้เราได้ไปเห็นอีกเยอะ อย่าลืมเผื่อเวลาไปทำอย่างอื่นด้วย อาจจะคั่นบางวันเป็นวันที่ไม่ต้องเน้นกินบ้างก็ได้ เพื่อให้ตารางการเที่ยวยืดหยุ่นได้มากขึ้น


สาม - ปิดท้ายทริปอย่างยิ่งใหญ่ ผมชอบจัดให้มื้อเย็นของวันสุดท้าย เป็นมื้อที่ดีที่สุด หรือเป็นมื้อที่เราสามารถตามใจตัวเองได้เต็มที่ อยากกินอะไรก็กิน สั่งอะไรก็สั่งแบบไม่ต้องคิดหน้าคิดหลังมากนัก (แต่ก็ควรมีสติสัปชัญญะอยู่บ้าง ไม่ใช่ว่าไปเปิดไวน์ขวดละแสน) เพื่อเป็นการปิดท้ายทริปขมวดจบอย่างสวยงาม เอาให้เหมือนกับที่แพคเกจทัวร์ชอบใช้คำบรรยายไว้ว่า “กลับบ้านพร้อมความประทับใจไม่รู้ลืม”