ผลการค้นหา "{{keyword}}" ไม่ปรากฎแต่อย่างใด
การใช้และการจัดการคุกกี้
ธนาคารมีการใช้เทคโนโลยี เช่น คุกกี้ (cookies) และเทคโนโลยีที่คล้ายคลึงกันบนเว็บไซต์ของธนาคาร เพื่อสร้างประสบการณ์การใช้งานเว็บไซต์ของท่านให้ดียิ่งขึ้น โปรดอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมที่ นโยบายการใช้คุกกี้ของธนาคาร
การใช้และการจัดการคุกกี้
ธนาคารมีการใช้เทคโนโลยี เช่น คุกกี้ (cookies) และเทคโนโลยีที่คล้ายคลึงกันบนเว็บไซต์ของธนาคาร เพื่อสร้างประสบการณ์การใช้งานเว็บไซต์ของท่านให้ดียิ่งขึ้น โปรดอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมที่ นโยบายการใช้คุกกี้ของธนาคาร
เรื่องเล่าจากมนุษย์หลังอานคนหนึ่ง
เรื่องโดย: ภู เมฆพิพัฒน์
ผมเป็นคนหนึ่งที่ใช้จักรยานในการเดินทางไปทำงานในลักษณะที่เรียกว่า Bike to Work ร่วมกับขนส่งมวลชนอย่างรถไฟฟ้า ซึ่งหลายคนอาจมองว่าเป็นเรื่องน่าอัศจรรย์หรือท้าความตาย วันนี้ขอไขความลับให้ฟังว่า การปั่นจักรยานร่วมกับพาหนะอื่นๆ บนท้องถนนมีความเป็นไปได้และมีความปลอดภัยพอสมควร ขอเพียงให้ปั่นอย่างมีสติและไม่ประมาทเท่านั้นเอง
นี่พูดจากประสบการณ์ตรงของคนที่ปั่นจักรยานบนท้องถนนในกรุงเทพฯ “เกือบทุกวัน” นับตั้งแต่เดือนเมษายน 2553 เรื่อยมาจนวันนี้จะย่างเข้าสู่ปี 2561 ก็ 7 ปีกว่าๆ นะครับ
จุดเริ่มต้นของความคิดแผลงๆ นี้มาจากความเหลือทนกับสภาพการจราจรบนท้องถนนในกรุงเทพฯ ที่ทำให้เสียสุขภาพจิตอยู่หลังพวงมาลัยรถยนต์ปีแล้วปีเล่า จนวันหนึ่งในเดือนเมษายน 2553 ผมก็ตัดสินใจเปลี่ยนวิถีโคจรการเดินทางไปทำงานของตัวเองด้วยรถจักรยาน ก่อนหน้านั้นก็ศึกษาข้อมูลอยู่นานพอสมควร รวมทั้งฟังเสียงทัดทานจากมิตรสหายหลายคน... อันตราย, จะปั่นได้ซักกี่วัน... เดี๋ยวก็เลิกเห่อ, จักรยานคันละเป็นหมื่น... บ้ารึเปล่า?
ว่าแล้วก็จัดรถจักรยานแบบพับได้มาคันนึง จากนั้นมา.... ชีวิตผมก็ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป
การเดินทางไปทำงานด้วยจักรยานของผมใน พ.ศ. นั้นเริ่มจากคอนโดฯ ย่านสุขุมวิท 77 ปั่นมาขึ้น BTS ต้นทางอ่อนนุช (ในยุคที่ยังไม่มีส่วนต่อขยายแบริ่ง) โดยใช้บริการ “BTS เที่ยวแรกของวัน” ประมาณ 6:00 น. ผู้โดยสารยังไม่เยอะ พับรถเสร็จก็จับยัดเข้าไปในช่องประตูหลังห้องพนักงานขับรถเพื่อไม่ให้เกะกะผู้โดยสารคนอื่น นั่งยาวมาเกือบสุดสาย ลงสถานีสะพานควายแล้วกางจักรยานปั่นต่ออีกราว 3 กิโลเมตรก็ถึงที่ทำงานย่านบางซื่อ เหงื่อยังไม่ทันออกเลย
ทั้งหมดนี้ ใช้เวลาเดินทางพอๆ กับตอนขับรถไปทำงาน แต่ที่ได้มามากกว่านั้นคือ สุขภาพที่แข็งแรงขึ้น กับเงินที่เหลือในกระเป๋าวันละเกือบ 200 บาท
มองในแง่การลงทุน... ผมได้ทุนคืนจากจักรยานคันนี้ตั้งแต่ 5 เดือนแรกแล้วครับ จากที่ต้องจ่ายค่าน้ำมันรถกับค่าทางด่วนตกเดือนละ 5,000 บาท เหลือแค่ค่าบัตรรถไฟฟ้าประมาณพันบาทต่อเดือน แถมด้วยสิ่งที่ได้เพิ่มมาแบบไม่คาดคิดจริงๆ คือ “เวลา”
ที่เหลือจากนี้ ผมถือว่าเป็นกำไรล้วนๆ หยุดเสาร์-อาทิตย์ก็จับจักรยานออกไปปั่นท่องเที่ยวทั่วเมืองกรุง ซอกแซกซอกซอนไปตามที่ต่างๆ ที่ผมไม่รู้มาก่อนว่ากรุงเทพฯ เรามีหลืบมุมนี้อยู่
และ... เอ่อ... อาจหาญถึงขนาดชวนเพื่อนอีกคนปั่นจักรยานจากกรุงเทพฯ ไปเชียงใหม่ ในไม่กี่ปีต่อมาด้ว
ปัจจุบัน ย้ายมาอยู่ย่านประเวศ ผมก็ยังคง Bike to Work อยู่ เพียงแต่เปลี่ยนจาก BTS เป็นแอร์พอร์ต เรียลลิงค์ ปั่นออกจากบ้านมาขึ้นรถที่สถานีบ้านทับช้าง “เที่ยวแรกของวัน” อีกแล้ว ก่อนจะต่อ MRT สถานีเพชรบุรี โผล่อีกทีก็ MRT สถานีบางซื่อเลย สะดวกแทบไม่ต่างจากเดิม
ถึงวันที่เขียนบทความนี้... อีกไม่กี่เดือน ผมก็จะเป็นมนุษย์หลังอานครบ 7 ปีเต็ม พร้อมๆ กันกับจักรยานที่งอกมาจากไหนอีกไม่รู้ตั้ง 4 คัน ;) โดยส่วนตัวแล้วอยากให้คนไทยมาใช้จักรยานในชีวิตประจำวันเยอะๆ เคยอ่านเจอว่า ที่โบโกต้า เมืองหลวงของประเทศโคลัมเบีย ภายหลังจากผู้นำท้องถิ่นใจเด็ดเปลี่ยนเมืองให้เป็นเมืองจักรยาน ลดพื้นที่ถนนสำหรับรถยนต์ให้จักรยาน เพื่อสนับสนุนให้คนหันมาปั่นจักรยานกันมากขึ้น พบว่าอัตราการเกิดอาชญากรรมลดลงอย่างมีนัยสำคัญเลยทีเดียว ในรายละเอียดระบุว่า พอคนปั่นจักรยานกันมากขึ้น มีโอกาสได้เห็นหน้าค่าตากัน ยิ้มแย้มให้กัน ทักทายถามไถ่กัน เคลื่อนไปบนสองล้อที่ความเร็วพอๆ กัน ความเครียดลดลง ก่อให้เกิดมิตรภาพระหว่างกัน ความคิดร้ายต่อกันก็ลดน้อยลงไปด้วย
คำแนะนำสำหรับผู้ริจะปั่นจักรยานในเมืองหลวงจากประสบการณ์จริงกว่า 7 ปี
ลองดูครับ... ปั่นจักรยานในเมืองใหญ่ไม่ใช่เรื่องน่ากลัว เราเคยสนุกกับมันตอนเด็กๆ กลับมาคร่อมมันอีกสักครั้งคุณอาจจะพบความเป็นเด็กในตัวคุณอีกคราก็เป็นได้.
คุ้มครองทั่วไทย อุ่นใจครบครัน