ใจจะขาดเมื่อลูกน้อยเข้าโรงพยาบาล ใครก็ได้ช่วยที

เช้าวันแรกที่พาเด็กน้อยท่าทางฉลาดและซุกซนไปส่งที่โรงเรียน ภาพนั้นยังอยู่ในความทรงจำของคนเป็นแม่อย่างฉัน เจ้าตัวน้อยที่แสนจะร่าเริงเดินสะพายกระเป๋าใบน้อยเข้าไปผจญภัยในโลกใบใหม่ด้วยความอยากรู้อยากเห็น ฉันได้แต่อมยิ้มดีใจที่ลูกไม่งอแงร้องอยากกลับบ้าน แต่ก็อดเป็นห่วงไม่ได้ ว่าแก้วตาดวงใจจะเจออะไรบ้าง จะเข้ากับเพื่อนๆ ได้หรือไม่ จะเล่นซนจนเกิดอุบัติเหตุหรือเปล่า แต่ในที่สุดมันก็ผ่านไปได้ด้วยดี

จนมาวันหนึ่ง ระหว่างที่ฉันทำงานอยู่ที่บริษัท โทรศัพท์มือถือก็ดังขึ้นพร้อมปรากฏชื่อครูประจำชั้นของเจ้าหนู มันต้องเกิดอะไรขึ้นที่โรงเรียนแน่ๆ ฉันใจคอไม่ค่อยดีเลย รับโทรศัพท์ไปด้วยความวิตกกังวล “น้องไข้ขึ้นสูง ตอนนี้อยู่ที่โรงพยาบาล คุณแม่รีบมาด่วนเลยนะคะ” นี่คือประโยคเดียวที่ฉันจับใจความได้จากปลายสาย หูฉันไม่รับรู้อะไรแล้ว ความรู้สึกเหมือนสายฟ้าฟาดลงมาที่กลางหัวใจมันเจ็บปวดรวดร้าวแบบนี้นี่เอง “ลูกต้องไม่เป็นอะไรนะ คนเก่งของแม่” ฉันได้แต่สวดภาวนาอ้อนวอนระหว่างที่รีบขับรถไปโรงพยาบาล ใจนึกไปถึงสิ่งที่คุณอาหมอเคยบอกฉันว่า เด็กเล็ก ๆ เวลามีไข้สูงต้องระวัง อย่าปล่อยให้ชัก เพราะอาจจะมีผลเสียจนเป็นอันตรายต่อสมอง ยิ่งคิดก็ยิ่งกลัว พอไปถึงโรงพยาบาลก็รีบตรงไปที่ห้องฉุกเฉินทันที ภาพตรงหน้าที่เห็นคือดวงใจของฉันนอนหายใจรวยรินอยู่บนเตียง นาทีนั้นน้ำตามไหลออกมาโดยไม่รู้ตัว

ผลจากห้องแล็บ ระบุว่า ลูกชายวัย 4 ขวบของฉันติดเชื้อไวรัส RSV ต้องนอนพักรักษาตัวและดูอาการต่อ ว่าจะมีอะไรแทรกซ้อนหรือไม่ ทำไมถึงต้องเป็นแบบนี้ เด็กน้อยผู้ไร้เดียงสาต้องมาทนทุกข์ทรมานแบบนี้ทั้ง ๆ ที่เขาควรจะได้เล่นสนุกกับเพื่อนๆ ตามวัย ทุกครั้งที่เขาร้องไห้เรียกหา ฉันก็น้ำตาไหลไปด้วยเสมอ ฉันจะต้องทำทุกอย่างเพื่อรักษาชีวิตสุดที่รักของฉันเอาไว้ เมื่อดึงสติกลับมาได้ เจ้าหน้าที่ก็เดินเข้ามาคุยเรื่องค่าใช้จ่ายในการรักษาพอดี ประเมินดูแล้ว กว่าที่ลูกจะได้ออกจากโรงพยาบาลน่าจะเสียเงินร่วมแสน นับว่าฉันยังมีโชคดีอยู่บ้างที่ตัดสินใจซื้อประกันสุขภาพให้กับลูกชายหัวแก้วหัวแหวนคนนี้ เมื่อครั้งไปเดินช้อปปิ้งในห้างเดอะมอลล์คราวก่อน ประกันสุขภาพนี้ครอบคลุมค่ารักษาพยาบาลทั้งหมด โดยที่ฉันไม่ต้องจ่ายอะไรเพิ่มเลย ปกติแล้วเด็กเล็ก ๆ ป่วยง่าย บริษัทประกันมักจะไม่ค่อยรับประกันภัย หรือไม่ก็คิดค่าเบี้ยประกันในอัตราที่สูง แต่ประกันตัวนี้คุ้มครองตั้งแต่เด็กอายุ 15 วัน โดยไม่ต้องตรวจสุขภาพ และยังมีค่าเบี้ยประกันราคาพิเศษเมื่อซื้อประกันสุขภาพร่วมกับคุณพ่อหรือคุณแม่อีก จึงนับเป็นทางเลือกที่ดีสำหรับคนรักลูกทุกคน เรียกว่า “สุขทุกวัย” ตั้งแต่ผู้ใหญ่ถึงเด็กน้อย

ไม่อยากจะคิดว่า ถ้าค่ารักษาพยาบาลทั้งหมดนี้ ฉันต้องเป็นคนจ่ายเอง โดยที่ไม่มีบริษัทประกันมาช่วยแบ่งเบา ครอบครัวเราจะต้องลำบากแค่ไหน อาจจะต้องมองหาโปรโมชั่นบัตรเครดิตผ่อนจ่ายค่ารักษากันไป หรือไม่ก็ต้องยอมขอกู้เงินแบบด่วนๆ ก่อนแล้วหาเงินมาคืนทีหลัง บางคนอาจคิดว่าประกันสุขภาพไม่ใช่เรื่องจำเป็น แต่จากเหตุการณ์นี้ ทำให้เรียนรู้ได้ว่า เรื่องแบบนี้ถ้าไม่เกิดกับตัวเองก็อาจจะไม่เข้าใจจริง ๆ ดีแล้วที่ฉันตัดสินใจทำประกันประกันสุขภาพให้กับลูก ดีกว่าเสียน้อยเสียยากเสียมากเสียง่าย กว่าเด็กหนึ่งคนจะเติบโตต้องใช้เงินอีกเท่าไหร่ จะดีกว่ามั้ยถ้าเราสามารถเก็บเงินที่ต้องจ่ายค่ารักษาแพงๆ ให้กับโรงพยาบาลไว้เป็นทุนการศึกษาให้กับลูกของเรา...ดวงใจของเราในอนาคต