How to ทำงานที่ไหนก็ได้บนโลกใบนี้ในแบบ Digital Nomad

จริงๆ แล้วการทำงานจากระยะไกล หรือ Remote Working หรือการเป็น Digital Nomad อาชีพฮิตติดหูในช่วงนี้ ไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่ด้วยการแพร่ระบาดของโควิด 19 ได้กลายเป็นตัวเร่งให้การทำงานจากที่ไหนก็ได้หรือ Work from Anywhere ที่สามารถเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตได้อย่างมีประสิทธิภาพกลายเป็นรูปแบบการทำงานที่เพิ่มมากขึ้นและเป็น New Normal ในยุคปัจจุบัน อาจเป็นฝันของใครหลายคนที่อยากจะเป็น Digital Nomad ที่มีคอมพิวเตอร์แล็ปท็อปตัวเดียวก็สามารถทำงานไปพร้อมกับการท่องเที่ยวไปทั่วโลกที่ไหนก็ได้ที่มีสัญญาณอินเทอร์เน็ตที่แรงพอ โลกของการทำงานไม่ได้จำกัดอยู่ในออฟฟิศ ในบ้าน ในเมือง หรือในประเทศอีกต่อไป เพราะที่ไหนในโลกก็ใช้เป็นที่ทำงานได้ถ้ามีเทคโนโลยีการสื่อสารเข้าถึง

Digital Nomad คืออะไรกันแน่?

คือคนที่ทำงานจากทางไกลโดยใช้เทคโนโลยีการสื่อสารในการเชื่อมต่อโลกเข้าหากันเพื่อการทำงาน พูดง่ายๆ ก็คือการทำงานผ่านอินเทอร์เน็ต  พวกเขาจะเดินทาง เปลี่ยนที่อยู่ ที่ทำงานเป็นประจำเพื่อท่องเที่ยว หาประสบการณ์ชีวิตและทำงานไปพร้อม ๆ กัน ส่วนใหญ่พวกเขาจะไม่ปักหลักอยู่เมืองใดเมืองหนึ่งนาน ๆ แต่จะเดินทางย้ายสถานที่ทำงานไปตามเมืองต่าง ๆ ที่เขาต้องการอยู่ตลอด โดยใช้พื้นที่เช่น co-working space, ร้านกาแฟ ห้องสมุดสาธารณะ ที่มีสัญญาณอินเทอร์เน็ตที่ดีในการทำงาน Digital Nomad มีหลายแบบ ทั้งแบบที่เปลี่ยนเมืองที่อยู่ ที่ทำงานในประเทศของตัวเอง เช่นประเทศใหญ่ๆ อย่างอเมริกา Digital Nomad จำนวนมากใช้การเปลี่ยนเมืองไปเรื่อยๆ บางคนเปลี่ยนประเทศไปรอบโลก บางคนเดินทางไปทำงานต่างถิ่นโดยขับรถบ้าน หรือบางคนก็ทำงานบนเรือและแวะพักตามเมืองต่างๆ ที่เรือจอด

มีคำถามว่า Digital Nomad ต่างจาก Freelancer อย่างไร จริง ๆ แล้ว  Digital Nomad อาจจะทำงานเป็นลูกจ้างบริษัทหรือทำงานอิสระของตัวเองก็ได้ แต่พวกเขาจะไม่มีบ้านที่เป็นหลักแหล่ง พวกเขามักจะไม่อยู่ที่ไหนนานๆ อาจอยู่บางที่หลายสัปดาห์หรือเป็นเดือนแล้วเปลี่ยนไปอยู่เมืองใหม่ๆ  พวกเขาอาจ เช่า อพาตเมนท์ Airbnb หรือโรงแรมอะไรก็ได้ที่เหมาะกับงบประมาณที่เขามี มีความยืดหยุ่นสามารถปรับตัวเข้ากับวัฒนธรรมใหม่ได้ดี ข้าวของติดตัวไม่มากทำให้การเปลี่ยนที่อยู่ไม่ใช่เรื่องยาก ในขณะที่ Freelancer ทำงานอิสระไม่ได้เป็นลูกจ้าง มักอยู่เป็นหลักแหล่ง ทำงานที่บ้านไม่มีการย้ายที่อยู่บ่อยๆ เหมือนกลุ่ม Digital Nomad แต่สิ่งที่ทั้งสองกลุ่มต้องมีเหมือนกันคือความมีวินัยต่อตัวเอง สามารถบังคับให้ตัวเองทำงานได้เสร็จตรงตามกำหนดเวลา รู้ว่าเวลาเป็นเวลาส่วนตัวเพื่อทำสิ่งที่ตัวเองชอบ เวลาไหนต้องทำงาน ถ้าขาดความรับผิดชอบหรือขาดความมีวินัยในตัวเองแล้วก็ยากที่จะเป็น Digital Nomad หรือ Freelancer ที่ประสบความสำเร็จได้

มีเรื่องเล่าจากประสบการณ์ของ Matthew Karsten ชายชาวอเมริกัน ที่เป็น Digital Nomad ยาวนานถึง 10 ปี เขาเปลี่ยนสถานที่ทำงานมาแล้วกว่า 50 ประเทศทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็น Mexico, Nicaragua, Italy, Spain,  South Africa, Greek หรือแม้กระทั่งประเทศไทย โดยมีแล็ปท็อป กับอินเทอร์เน็ตที่ดี เขาสามารถทำงานได้ทุกที่ในโลก เขาเล่าต่อไปว่าการทำงานแบบ Digital Nomad ทำให้เขาได้เดินทางไปเห็นสถานที่ที่สวยงาม เรียนรู้วัฒนธรรมที่แตกต่าง ทำงานที่ไหน เมื่อไหร่ก็ได้ ดูเหมือนเป็นชีวิตที่ช่างน่าอิจฉาจนทำให้คนจำนวนมากค้นหาคำว่า “how to become a digital nomad.” อย่างถล่มทลาย

จากประสบการณ์ 10 ปีในการเป็น Digital Nomad  Matthew พบทั้งข้อดีและข้อเสียดังนี้

ข้อดี

  • ประหยัดเงิน โดยการเดินทางไปอยู่ในประเทศหรือเมืองที่มีค่าครองชีพต่ำ

  • จะอยู่ที่ไหนก็ได้ที่อยากไป

  • เรียนรู้วัฒนธรรมที่แตกต่าง พบเจอเพื่อนใหม่

  • เรียนรู้ทักษะใหม่ๆ และภาษาใหม่ๆ

  • เข้าใจชีวิตมากขึ้นจากการเดินทางไปที่แปลกใหม่

  • สามารถสร้างตารางการทำงานของตัวเอง ทำงานเวลาไหน หยุดเวลาไหน
  •       ย้ายไปอยู่ในที่อากาศดีที่สุดในแต่ละช่วงเวลา ไม่ต้องเผชิญความหนาวจัด หรือร้อนจัด

ข้อเสีย

 

  • การเปลี่ยนที่อยู่บ่อย ๆ ทำให้อ่อนล้า

  • ความเหงา เพราะห่างจากครอบครัว

  • ไม่มีพื้นที่ส่วนตัวในการทำงาน เพราะอาจต้องทำงานใน co-working space, ร้านกาแฟ
  • ·    เมื่อเดินทางบ่อยเข้าจนถึงจุดอิ่มตัวก็จะหมดความตื่นเต้น

 

หลังจาก Matthew เป็น Digital Nomad มา 10 ปี เดินทางมาเกือบทั่วโลก เขาก็ถึงจุดอิ่มตัว เขาย้ายกลับไปอเมริกาซื้อบ้านเป็นหลักแหล่ง แต่เขาก็ย้ำว่าประสบการณ์ 10 ปีเป็นสิ่งที่คุ้มค่า แต่เมื่อถึงจุดอิ่มตัวเสน่ห์ของการเดินทางก็เริ่มลดลง เขามาสู่จุดที่อยากตั้งหลักปักฐาน มีครอบครัว เดินทางท่องเที่ยวน้อยลง และเปลี่ยนมา work from home แทน

รู้หรือไม่ว่าประเทศไทยเป็นหนึ่งใน Destination อันดับต้นๆ ของ Digital Nomad สาเหตุหลักๆ เป็นเพราะไทยเป็นประเทศที่มีค่าครองชีพต่ำ ในขณะที่มีโครงสร้างพื้นฐานที่ดี มีระบบอินเทอร์เน็ตที่รองรับการทำงานของพวกเขาได้ มีอากาศอบอุ่น อาหารอร่อย มีที่พักที่ดีมีคุณภาพในราคาสมเหตุสมผล มีเมืองที่เป็นสถานที่ท่องเที่ยวมากมาย มี co-working space ร้านกาแฟบรรยากาศดี ๆ จำนวนมากที่สามารถใช้เป็นที่ทำงานได้สะดวก มี Digital Nomad คนหนึ่งเล่าว่า เมื่อเชียงใหม่มีปัญหาเรื่องฝุ่นควัน PM 2.5 เข้าก็ย้ายไปอยู่กระบี่แทน นั่นเป็นข้อได้เปรียบของไทยที่มีความหลากหลายทางภูมิศาสตร์   คาดว่าหลังจากการระบาดของโควิด 19 จบลง กลุ่ม Digital Nomad อาจเป็นกลุ่มคนที่ประเทศไทยสามารถสร้างธุรกิจเพื่อรองรับและสร้างรายได้จากพวกเขาเหล่านี้ได้ เพราะแนวโน้มของการทำงานแบบ Digital Nomad มีจำนวนเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ และประเทศไทยเองก็มีความพร้อมในหลายๆ ด้านที่ได้เปรียบประเทศอื่นๆ

 

อ้างอิง

https://expertvagabond.com/digital-nomad-tips/

https://blog.hubspot.com/marketing/digital-nomad