ทางเลือกการลงทุนในสินค้าแบรนด์เนม

บทความโดย นิภาพันธ์ พูนเสถียรทรัพย์ CFP® นักวางแผนการเงินอิสระ นักเขียนและวิทยากร


ในสภาวะที่การลงทุนในตลาดหุ้นมีความผันผวน ทำให้นักลงทุนจำเป็นต้องมีการกระจายการลงทุนไปยังสินทรัพย์หลากหลายประเภท หนึ่งในทางเลือกการลงทุนที่น่าสนใจ คือ การลงทุนในสินค้าแบรนด์เนม ซึ่งถูกจัดให้เป็นการลงทุนทางเลือก (Alternatives Investment) ประเภทหนึ่ง อย่างไรก็ตาม ไม่ได้หมายความว่าจะสามารถลงทุนในสินค้าแบรนด์เนมได้ทุกประเภท เพราะสินค้าแบรนด์เนมบางประเภทก็อาจไม่เป็นที่ต้องการของตลาด หรือขายได้ตลอดเวลา นักลงทุนจึงจำเป็นต้องรู้จักและทำความเข้าใจว่าคุณลักษณะของสินค้าแบรนด์เนมที่สามารถลงทุนได้นั้นเป็นอย่างไร


คุณลักษณะของสินค้าแบรนด์เนมที่สามารถลงทุนได้
  

  • เป็นสินค้าที่มีความต้องการ เพราะมีตลาดรองรับ เช่น กระเป๋า นาฬิกาข้อมือ  เป็นต้น

  • เป็นสินค้าที่มีความคงทน ไม่ฉีกขาดหรือเสียหายเพราะการใช้งาน หรือตามกาลเวลา เช่น กระเป๋า นาฬิกาข้อมือ  เป็นต้น

  • เป็นสินค้าที่มีจำนวนจำกัด (Limited Edition) หรือผลิตออกมาน้อยกว่าความต้องการของตลาด ทำให้มีคนพร้อมที่จะจ่ายในราคาที่สูงกว่าเพื่อให้ได้สินค้านั้นมาครอบครอง เช่น รถโบราณ กล้องถ่ายรูปรุ่นโบราณ ผลงานศิลปะ กระเป๋าและนาฬิการุ่นลิมิเต็ด อิดิชั่น  เป็นต้น

  • เป็นสินค้าที่สามารถสะสมเป็นคอลเล็กชั่นได้ เช่น กระเป๋า นาฬิกาข้อมือ  เป็นต้น

  • เป็นสินค้าที่มีค่าในตัวเอง หรือมีมูลค่าที่เพิ่มขึ้นได้ เช่น ทำจากโลหะหรืออัญมณีที่มีมูลค่า เช่น เพชร ทองคำ ทองคำขาว   เป็นต้น   

ทางเลือกการลงทุนในสินค้าแบรนด์เนม แบ่งเป็น 3 ทางเลือก ดังนี้
 

1.  ซื้อสินค้าแบรนด์เนมมาเพื่อการลงทุน


เป็นการซื้อสินค้าของแบรนด์ที่มีชื่อเสียงและเป็นที่นิยมมาเก็บไว้ โดยหวังว่าในอนาคตสินค้าที่เราซื้อมานั้นจะมีราคาเพิ่มขึ้น เช่น นาฬิกาข้อมือที่มีกลไกซับซ้อน มีราคาแพง ประดับด้วยเพชร หรือมีการออกแบบที่มีความเฉพาะตัว และกระเป๋าแบรนด์เนม
 

สำหรับกระเป๋าแบรนด์เนมนั้น ต้องเลือกลงทุนในกระเป๋า High-End ที่ไม่เคยจัดโปรโมชั่นด้วยการลดราคาเลย เช่น Louis Vuitton, Hermes, และ Chanel การไม่ลดราคาของแบรนด์เหล่านี้เป็นการคงคุณค่าของกระเป๋าไปในตัว และโดยนโยบายของแบรนด์เหล่านี้ นอกจากจะไม่มีการลดราคาแล้ว ยังจะเพิ่มราคาของสินค้าตัวใหม่อีกด้วย ซึ่งมีผลทำให้กระเป๋าที่ซื้อมาแล้วสามารถนำมาขายได้ในราคาที่สูงขึ้น (หากกระเป๋ายังมีสภาพที่ดี) โดยรุ่นที่เราควรเริ่มลงทุน คือ รุ่นคลาสิก และ Limited Edition
 

อย่างไรก็ตาม ก่อนลงทุนด้วยการซื้อสินค้าแบรนด์เนมมานั้น นักลงทุนต้องพิจารณาความต้องการของตัวเองก่อนว่า ต้องการลงทุนเพื่อผลตอบแทน หรือต้องการใช้งาน เพราะหากเป็นการลงทุน ย่อมหมายความว่า เรามีความคาดหวังจะได้รับผลตอบแทนกลับคืนมาในรูปของกำไร ดังนั้นเราจำเป็นต้องมีการศึกษาและวิเคราะห์การลงทุนไม่ต่างจากการลงทุนในรูปแบบอื่น แต่หากเราต้องการใช้งาน และมีผลพลอยได้ที่สามารถขายต่อได้ในราคาที่เหมาะสม ก็อาจเลือกในสิ่งที่ชอบก็ได้
 

นอกจากนี้ สิ่งที่พึงระวังก่อนตัดสินใจลงทุนแบบนี้ คือ สินค้าแบรนด์เนมนั้นอาจจะมีสภาพคล่องที่ต่ำ และราคาที่แท้จริงหายาก ทำให้หากลงทุนซื้อไปแล้วอาจจะไม่สามารถขายออกมาได้ในทันที หรือไม่ได้ในราคาที่ต้องการ

2. ลงทุนในหุ้นที่ผลิตสินค้าแบรนด์เนม


หากเราไม่ต้องการซื้อสินค้าแบรนด์เนมเพื่อมาลงทุน อีกหนึ่งทางเลือกที่เราสามารถทำได้ คือ การลงทุนโดยตรงในหุ้นที่ผลิตสินค้าแบรนด์เนม เช่น

  • HERMES INTERNATIONAL SCA หรือ HERMES นั่นเอง จดทะเบียนซื้อขายอยู่ในตลาดหุ้นฝรั่งเศส ตัวย่อที่ใช้ซื้อขายจะเรียกว่า “HRMS”

  • LVMH Moet Hennessy Louis Vuitton SE หรือ LVMH ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของแบรนด์ดังๆ ระดับโลกมากมาย เช่น Louis Vuitton, Christian Dior, Sephora, Kenzo, Fendi, Celine, Givenchy, Marc Jacobs และ นาฬิกา TAG Heuer ซึ่ง LVMH จดทะเบียนซื้อขายในตลาด ยูโรเน็กซ์ ปารีส (EURONEXT Paris) ใช้อักษรย่อว่า MC โดยมีการจดทะเบียนซื้อขายในตลาดอื่นด้วยชื่อย่อ LVMH

  • หากนักลงทุนสนใจที่จะลงทุนในหุ้นกลุ่มนี้ และอยากรู้ว่ามีหุ้นตัวใดอีกบ้าง สามารถศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้จากดัชนีของกลุ่มสินค้าเหล่านี้ที่เรียกว่า S&P Global Luxury Index ซึ่งประกอบไปด้วยหุ้นของแบรนด์สินค้าชั้นนำ 80 บริษัท หรือเข้าไปที่ https://us.spindices.com/indices/equity/sp-global-luxury-index

  • ข้อพึงระวังในการลงทุนแบบนี้ คือ หุ้นในกลุ่มนี้จะถูกผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจได้ง่าย หากเศรษฐกิจไม่ดี สินค้าแบรนด์เนมจะเป็นสิ่งแรกที่ผู้คนจะหยุดซื้อ และมีความยุ่งยากในการซื้อขาย เพราะเป็นหลักทรัพย์ที่จดทะเบียนอยู่ในต่างประเทศ
     

3.   ลงทุนผ่านกองทุนรวมไทยที่ลงทุนในสินค้าแบรนด์เนม


หากไม่ต้องการยุ่งยากกับการลงทุนกับหุ้นที่ซื้อขายอยู่นอกประเทศ นักลงทุนสามารถลงทุนผ่านกองทุนรวมไทยที่ลงทุนในบริษัทผลิตและจำหน่ายสินค้าแบรนด์เนมได้ ซึ่งถือว่าเป็นกองทุนรวมที่ลงทุนในหลักทรัพย์ต่างประเทศ (Foreign Investment Fund) ซึ่งคุณสามารถหาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.morningstarthailand.com และต้องไม่ลืมอ่านหนังสือชี้ชวนให้รอบคอบก่อนตัดสินใจลงทุน นอกจากนี้อย่าลืมพิจารณาความเสี่ยงในการลงทุน ซึ่งนอกจากความเสี่ยงตามประเภทของสินค้าการเงินที่ไปลงทุน และความเสี่ยงจากภาวะเศรษฐกิจในประเทศแล้ว ยังมีความเสี่ยงเพิ่มเติมจาก อัตราแลกเปลี่ยน ความเสี่ยงจากภาวะเศรษฐกิจและการเมืองของประเทศที่ไปลงทุน รวมทั้งความเสี่ยงเกี่ยวกับการฟ้องร้อง และบังคับใช้กฎหมายในกรณีที่บริษัทที่กองทุนรวมไปลงทุนมีปัญหาด้วย


หมายเหตุ
:   เป็นเพียงการนำเสนอข้อมูลเพื่อให้ทราบว่ามีการลงทุนในรูปแบบต่างๆ นี้อยู่ และการลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนโปรดศึกษาข้อมูลก่อนการตัดสินใจลงทุนทุกครั้ง