8 เทคนิคฝ่าโควิดแบบความคิดไม่ติดลบ

ช่วงนี้คงยากที่จะปฏิเสธว่า โควิด-19 ส่งผลกระทบต่อชีวิตของพวกเรามากถึงมากที่สุด หลายคนต้องอยู่กับบ้าน เพื่อรักษาตัวให้รอดพ้นจากเชื้อไวรัสนี้ และลดภาระให้กับเหล่าบุคลากรทางการแพทย์ที่ทำงานหนักอยู่ในโรงพยาบาล การอยู่ในพื้นที่ส่วนตัว อย่างบ้านของตัวเอง แรกๆ ก็อาจจะดี แต่พอต้องอยู่นานๆ ไม่ค่อยได้พบเจอผู้คนเหมือนที่ผ่านมา ก็อาจจะทำให้เครียด เหงาหงอย ซึมเศร้า จนทำให้บรรยากาศในบ้านแสนสุข เริ่มไม่สุขอีกต่อไป พลังงานด้านลบแผ่เข้ามายึดพื้นที่ในหัวสมอง มองไปทางไหนก็ไม่ถูกใจไปเสียหมด อารมณ์เสียง่ายขึ้น บ่อยขึ้น


อย่าปล่อยตัว ปล่อยใจให้สิ่งไม่ดีออกมาควบคุมเราได้ มาดู 8 เทคนิคที่จะช่วยหยุดความคิดลบๆ ในช่วงวิกฤติโควิด-19 กันดีกว่า เพราะเราเชื่อว่าโลกใบนี้ยังมีด้านดีอยู่เหมือนกัน

1. ฝึกขอบคุณสิ่งดีๆ ที่ผ่านเข้ามา

บนโลกใบนี้มีเรื่องดีๆ เกิดขึ้นมากมาย อยู่ที่เรามองเห็นมันหรือไม่เท่านั้นเอง ลองฝึกกล่าวคำขอบคุณสิ่งดีๆ ที่เกิดขึ้นในแต่ละวันดูสิ แม้จะเป็นแค่เรื่องเล็กน้อย แต่สามารถช่วยเพิ่มความสุขในวันแสนหดหู่ได้ไม่น้อยเลยทีเดียว เช่น วันนี้ตื่นมาท้องฟ้าแจ่มใส มีแดดอ่อนๆ ลมพัดเอื่อยๆ ก็เลยขอบคุณพระอาทิตย์ที่ส่องแสงลงมา ทำให้ผ้าที่ตากไว้แห้งสนิท ไม่มีกลิ่นอับ ลองคิดดูนะ ถ้าไม่มีแดดล่ะ ผ้าที่ซักไว้อาจจะไม่แห้งก็ได้ เพียงแค่นี้ก็เพิ่มความสุขเล็กๆ ให้เราได้แล้ว ยิ่งถ้าเป็นคนที่เข้ามาทำอะไรให้เราด้วยแล้ว การกล่าวขอบคุณยิ่งเป็นการส่งต่อความสุขที่ดีมากๆ ไม่มีใครบนโลกใบนี้มีหน้าที่ทำดีกับคนอื่น การที่เราพบใครสักคนทำอะไรดีๆ ให้กับเรานั้น ถือว่าเราโชคดีมาก การเอ่ยคำ ”ขอบคุณ” เป็นการตอบแทนที่ไม่มีค่าใช้จ่าย ไม่น่าจะเป็นเรื่องยากอะไร แต่ผลของมันนั้นช่วยเพิ่มความสุข และพลังบวกให้กับตัวเรา และคนรอบข้างได้ ลองฝึกขอบคุณดูนะ

how-to-stay-happy-during-covid19-02

2. ตระหนักรู้ถึงสิ่งที่ควบคุมได้ และควบคุมไม่ได้

หลายๆ สิ่งที่เกิดขึ้น มีทั้งอยู่ภายใต้การควบคุมของเรา และอยู่นอกเหนือการควบคุม เช่น การเปลี่ยนแปลงต่างๆ ที่เกิดขึ้นบนโลกใบนี้ สภาพดินฟ้าอากาศ หรือแม้แต่ความคิดของคนอื่น อย่าพยายามที่จะควบคุมทุกอย่างเลย ไม่มีทางเป็นไปได้หรอก เหนื่อยเปล่าๆ การที่เราตระหนักรู้ว่าอะไรที่ควบคุมได้ อะไรที่ควบคุมไม่ได้ แล้วยอมรับมัน ก็สามารถหยุดความคิดลบๆ ออกไปได้แล้ว เพียงเราเข้าใจว่า เรื่องบางเรื่องอยู่นอกเหนือการควบคุม ลำพังตัวเราไม่สามารถเข้าไปแก้ไขอะไรได้ ก็แค่ยอมรับในสิ่งที่เกิดขึ้น แล้วหันมาทำในสิ่งที่เราเป็นคนชี้ชะตาให้ออกมาดีที่สุดก็พอ อย่างน้อยเราก็ทำเต็มที่แล้ว แม้ผลจะออกมาไม่ได้อย่างที่ใจคิด แต่เราก็จะรู้ว่า เพราะอะไร


อย่างโรคโควิด-19 นี้ เราไม่สามารถควบคุมให้มันหายไปได้ แต่เราสามารถป้องกันได้ ด้วยการเว้นระยะห่างทางสังคมอยู่ในบ้านตัวเอง กินร้อน ล้างมือบ่อยๆ อย่างถูกวิธี ใส่หน้ากากอนามัย และไม่เอามือไปจับใบหน้าของเรา ดังนั้นก็อย่าไปเครียดกับมัน แค่ทำอะไรที่เราสามารถทำได้ ให้ดีก็พอ

3. เสพสื่ออย่างมีสติ หยุดบริโภคข่าวร้าย

หลายๆ หน่วยงานออกมารณรงค์ให้ตระหนักแต่ไม่ตระหนกกับเชื้อไวรัสที่ระบาดอยู่ตอนนี้ เราแค่เพียงรับรู้ และหาทางป้องกันตัวเอง ไม่ต้องตื่นตกใจกับสิ่งที่เรารู้มา เรียกว่าเสพสื่อกันอย่างมีสตินิดนึง ถ้าโซเชียลมีเดียมีแต่เรื่องไม่บันเทิงใจ ลองวางมือถือไว้ไกลๆ ตัว แล้วหาอย่างอื่นทำแทนน่าจะช่วยได้ หยุดป้อนข้อมูลด้านลบเข้าสมองสักพัก ทำการล้างพิษโซเชียล (Social Detoxing) สักหน่อย เราจะได้เห็นความเป็นจริง ได้อยู่กับปัจจุบัน มีเวลาตั้งสติไตร่ตรอง ก่อนที่จะเชื่อทุกอย่างที่เห็น หรือได้ยินมา เพราะบางทีสิ่งที่เกิดขึ้นจริงก็ไม่ได้เลวร้ายเหมือนเรื่องที่ถูกใส่สีตีไข่ แต่งเติมให้ตื่นเต้นแบบที่ใครๆ แชร์กันมาให้เห็นก็เป็นได้

4. ฝึกการเจริญสติ เพื่อสมาธิ และปัญญา

รู้หรือไม่ว่า บริษัทยักษ์ใหญ่ในเรื่องเทคโนโลยีอย่าง Google นั้น ได้มีการเปิดหลักสูตรฝึกการเจริญสติให้กับพนักงานของบริษัทตั้งแต่ปีค.ศ. 2007 จนถึงปัจจุบัน ภายใต้ชื่อ โปรแกรม Search Inside Yourself เพราะเชื่อว่า จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน เพิ่มทักษะความเป็นผู้นำ และที่สำคัญที่สุดก็คือ การเพิ่ม “ความสุข” ซึ่งการฝึกแบบ Google ไม่ได้ยุ่งยากซับซ้อนอะไรเลย แค่เน้นคุณภาพของการฝึก และความต่อเนื่องเท่านั้นเอง โดยให้เราโฟกัสที่ลมหายใจเข้าออก ถ้ามีสิ่งรบกวนเข้ามา ก็ให้รับรู้ถึงการมีอยู่ของสิ่งรบกวนนั้น แล้วพยายามดึงสติของเราให้กลับมาอยู่ที่ลมหายใจให้ได้ เมื่อจิตใจสงบ ความคิดก็ไม่ฟุ้งซ่าน พลังลบรอบด้านก็ทำอะไรเราไม่ได้ ลองมาเริ่มฝึกกันวันละอย่างน้อย 1-2 นาที ฝึกไปเรื่อยๆ เมื่อครบ 100 นาที รับรองว่าคุณจะมีความสุขอยู่กับปัจจุบันได้อย่างแน่นอน

5. จดบันทึกความคิดตัวเอง

การเขียนเป็นการระบายอารมณ์ที่ดี เครียดอะไร หงุดหงิดอะไร ในหัวคิดอะไรอยู่ก็เขียนมันออกมาให้หมด เตรียมสมุดกับปากกาให้พร้อม แล้วตั้งหน้าตั้งตาจดบันทึกลงไป พยายามทำทุกวัน แล้วลองกลับมาอ่านดูว่าในแต่ละวันเราคิดอะไรบ้าง เปิดโอกาสให้ตัวเองได้ย้อนกลับไปทบทวนความคิด ว่าในตอนนั้นเรารู้สึกอย่างไร แล้ววันนี้เรายังคิดแบบนั้นอยู่หรือไม่ เราจะเข้าใจชีวิตของเรามากขึ้น รู้ว่าสิ่งที่ทำไปนั้น ทำเพราะอะไร แล้วผลที่เกิดขึ้น เป็นเช่นไร หรือบางทีก็ลองจัดระบบความคิดดูบ้าง เราอาจจะได้ไอเดียใหม่ๆ ที่สามารถเอาไปใช้กับงานในอนาคตก็ได้นะ แต่ที่แน่ๆ ทักษะการเขียน และการอ่านของคนที่จดบันทึกบ่อยๆ ก็จะพัฒนาขึ้นด้วยล่ะ

6. ยิ้มกว้างๆ แม้จะต้องฝืนก็ตาม

ยิ้มไว้ โลกจะแตกก็ยิ้มไว้... เพราะการยิ้มช่วยละลายความเครียดในหัวเราได้จริงๆ ใครเห็นรอยยิ้มสวยๆ ก็อารมณ์ดีขึ้นกันทั้งนั้น แถมยังอยากส่งยิ้มกลับไปให้อีก นอกจากนี้การยิ้มบ่อยๆ จะทำให้หน้าเด็กลงด้วย แต่ช่วงวิกฤติโควิด-19 นี้ หลายคนอาจมีคำถามเกิดขึ้นในใจ กักตัวอยู่ในบ้าน ไม่ได้ออกไปเจอใคร จะยิ้มให้ใครดู ง่ายๆ เลย ไปยืนหน้ากระจก แล้วฉีกยิ้มให้คนตรงหน้า แค่นี้ก็เพิ่มความแฮปปี้ได้แล้ว หรือสำหรับใครที่ต้อง Work From Home แล้วมีโอกาสได้ประชุมผ่านกล้องวีดีโอ ก็ลองยิ้มให้ผู้เข้าร่วมการประชุมสักหน่อย แค่นี้บรรยากาศก็ไม่ตึงเครียดแล้วล่ะ


ลองฝึกยิ้มเยอะๆ แม้จะต้องฝืนเพราะปัญหาที่รุมเร้าทำให้หาความสุขไม่ได้ แต่เชื่อเถอะว่า รอยยิ้มนั้นเป็นยาวิเศษ คลายเครียดได้ผลดีจริงๆ วันนี้... คุณยิ้มแล้วหรือยัง

7. กินอาหารที่ดีมีประโยชน์

มีงานวิจัยมากมายที่แสดงให้เห็นว่า อาหารนั้นมีผลต่ออารมณ์ของผู้บริโภค ถ้าเราปล่อยอารมณ์ให้เศร้า เหงาหงอย จนเครียด ก็คงไม่มีผลดีอะไรกับตัวเราเอง และคนรอบข้าง ยิ่งถ้าปล่อยให้ท้องหิวด้วยแล้วล่ะก็ อาจจะยิ่งทำให้หงุดหงิดเข้าไปกันใหญ่ การได้กินอาหารดีๆ สามารถทำให้เราอารมณ์ดีขึ้นได้จริงๆ นะ สำหรับช่วงไวรัสระบาดแบบนี้ เมื่อต้องอยู่แต่ในบ้านนานๆ เราอาจจะรู้สึกอึดอัด และเบื่อหน่าย ลองเปิดมือถือ สั่งอาหารร้านโปรดให้มาส่งที่บ้าน แล้วก็... กินมันซะ รับรองว่าอารมณ์บูดๆ จะดีขึ้นได้แน่นอน แต่เพื่อให้ได้มาซึ่งผลที่ดีกว่านั้น ถ้าเมนูที่สั่งมีส่วนผสมของอาหารอย่าง ปลาทะเลที่อุดมไปด้วยโอเมก้า 3 ผักใบเขียวที่มาพร้อมกับกรดโฟลิก เบอร์รี่ต่างๆ ที่มีทั้งวิตามินซี และสารต้านอนุมูลอิสระอยู่เพียบ ยิ่งกินก็ยิ่งได้ประโยชน์ อ้อ...ถ้าใครเครียดมาก ลองหยิบดาร์กช็อกโกแลตสักชิ้นเข้าปากดู มันช่วยคุณได้นะ

8. ออกกำลังกายต่อเนื่องอย่างน้อย 30 นาที

การลุกขึ้นมาขยับแข้งขยับขานั้น ไม่เพียงแต่จะช่วยเผาผลาญพลังงานที่เราบริโภคเข้าไป ช่วยให้เราสามารถควบคุมน้ำหนักได้ นำไปสู่การมีรูปร่างที่สมส่วน และมีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรง ไม่ต้องเจ็บป่วยเข้าโรงพยาบาล การออกกำลังกายต่อเนื่องเป็นประจำอย่างน้อย 30 นาที  ยังช่วยให้เราอารมณ์ดีขึ้นได้อีกด้วย เพราะช่วยทำให้ต่อมใต้สมองหลั่งสารที่ชื่อว่า เอ็นโดรฟิน ออกมา สารนี้เป็นสารแห่งความสุข จะช่วยให้เรารู้สึกดีและเพิ่มพลังบวกได้


ลองนำเทคนิคต่างๆ เหล่านี้ไปปรับใช้กันดู รับรองว่าจะสามารถช่วยเพิ่มพลังบวกให้กับเราได้แน่นอน ในช่วงที่มีอะไรร้ายๆ เกิดขึ้นในชีวิต อย่าปล่อยให้พลังลบ นำพาจิตใจของเราให้ตกต่ำลง พยายามเปลี่ยนวิธีคิด ปรับมุมมองให้เป็นด้านบวก แล้วเราจะสามารถก้าวข้ามผ่านเหตุการณ์ร้ายๆ เหล่านั้นไปได้ ขอเป็นกำลังใจให้ทุกคน


ที่มา: Daniel Riley. (2020). 8 Effective Tools To Stop Negativity During COVID-19 Crisis . Lifehack.

Chade-Meng Tan. (2012). Search Inside Yourself: Increase Productivity, Creativity and Happiness . HarperCollins