มี AI แล้วคนจะตกงานหรือเปล่า?

เมื่อมหันตภัยดำมืดกำลังคืบคลานเข้ามาทำลายมนุษยชาติ หุ่นยนต์จะครองโลก เทคโนโลยีจะมาแทนที่มนุษย์ หลากหลายฉากสุดอลังการในหนังไซไฟที่เหมือนจริง เมื่อเดินออกจากโลกภาพยนตร์ก็พบว่าเทคโนโลยีได้แทรกซึมเข้ามามีบทบาทในชีวิตของเรา ทั้งในโลกส่วนตัวและโลกของการทำงานมากยิ่งขึ้นทุกวัน ข่าวการนำเทคโนโลยีอัจฉริยะที่ทำงานได้เฟอร์เฟคแบบไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยเข้ามาแทนที่แรงงานมนุษย์ กำลังเขย่าขวัญมนุษย์ทำงานในหลายวงการไม่ว่าจะเป็นพนักงานในโรงงานอุตสาหกรรม ไปจนถึงพนักงานออฟฟิศที่เคยคิดว่างานมั่นคงอย่างงานบัญชีหรือแม้กระทั่งการวิเคราะห์หุ้นก็ดูเหมือนจะไม่ยกเว้น จึงเป็นประเด็นที่หลายคนอดคิดไม่ได้ว่าเทคโนโลยีจะมีผลกระทบต่อชีวิตผู้คนอย่างไรและดีกรีของมันจะรุนแรงขนาดไหน

หนึ่งในเทคโนโลยีหัวหอกที่ถูกจับตามองเพราะถูกพัฒนาเพื่อใช้ทำงานแทนคนมากที่สุดคงหนีไม่พ้น AI ( Artificial Intelligence ) ซึ่งค่อนข้างใกล้ตัวมาก บางคนอาจยังไม่เคยคิดว่าแอปพลิเคชั่นหรือเว็บไซต์โปรดที่เราใช้งานกันเป็นประจำต่างก็ใช้ AI เข้ามาบริหารจัดการ เช่น อีเมลซึ่งใช้ AI ในการฟิลเตอร์สแปม ปัจจุบัน Gmail สามารถฟิลเตอร์อีเมลสแปมได้ถึง 99.9%  หรือ Facebook ที่ใช้ Machine Learning (ML) ในการจดจำใบหน้าที่ใช้ในการ tag เพื่อน รวมทั้งในการเสนอ newsfeed และโฆษณาที่ตรงตามความสนใจของผู้ใช้งานแต่ละคน รวมทั้ง Amazon และ Netflix ที่ใช้ ML ในการแนะนำสินค้าที่เราอาจสนใจหรือภาพยนตร์แนวเดียวกับที่เราเพิ่งดูจบ AI อยู่ใกล้กับเรามากและมันก็ขยายวงกว้างมากขึ้นทุกที

ส่วนในโลกของการทำงานต้องยอมรับว่างานบางประเภทได้ถูกแทนที่หรือกำลังจะถูกแทนที่ด้วย AI โดยเฉพาะอย่างยิ่งงานที่เป็นกระบวนการซ้ำๆ ใช้กฎเกณฑ์หรือสูตรตายตัวในการทำ ไม่ว่าจะเป็น การประกอบชิ้นส่วนในโรงงานอุตสาหกรรม งานบัญชี งานเกี่ยวกับการคำนวณการประมวลผลตัวเลข เรื่องที่เกี่ยวกับโลจิกต่างๆ เป็นต้น

แต่อย่าเพิ่งตกใจไป จากงาน Techsauce Global Summit 2019 หัวข้อ The rise of artificial Intelligence, The coming Disruption for Jobs, the economy and society โดย Martin Ford กล่าวว่าสุดท้ายแมชชีนจะไม่สามารถเข้ามาแทนที่มนุษย์ได้ทั้งหมดอย่างที่หลายคนกลัว แต่เราเองก็ต้องพยายามพัฒนาทักษะเพื่อทำงานที่เทคโนโลยีไม่สามารถทำได้ ซึ่งก็คืองานที่ต้องใช้ความคิดสร้างสรรค์ การนำผลการวิเคราะห์ไปสู่การวางแผน หรือแม้กระทั่งงานขาย งานบริการต่างๆ และแน่นอนงานด้าน IT ที่จะออกแบบและดูแลเทคโนโลยีต่างๆ ที่นำเข้ามาใช้นั่นเอง

ความจริงในภาพใหญ่เศรษฐกิจและสังคมจะดำเนินต่อไปได้ต้องมีการบริโภค ภาคธุรกิจที่ผลิตสินค้าและบริการต่างๆ ก็ต้องการกำลังซื้อจาก “คน” เพราะหุ่นยนต์หรือเทคโนโลยีเหล่านี้ไม่มีการบริโภค สังคมทั้งภาครัฐและเอกชนก็ต้องจัดการให้เกิดความสมดุลและทำให้มนุษย์ยังมีงานและมีรายได้เพื่อสร้างความต้องการข้ามาหล่อเลี้ยงระบบเศรษฐกิจนั่นเอง

นอกจากนั้นผู้เชี่ยวชาญต่างเห็นตรงกันว่าต้องใช้เวลาอีกยาวนานมากกว่าที่จะสามารถพัฒนาให้หุ่นยนต์คิดได้อย่างมนุษย์ทุกอย่าง และสมองกลเหล่านี้ไม่ได้ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อการทำงานแบบ Multi tasks เหมือนมนุษย์ และกำลังของเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ในปัจจุบันยังห่างไกลที่จะสามารถพัฒนาจักรกลให้ชาญฉลาดและซับซ้อนเท่าสมองมนุษย์ได้

โลกเทคโนโลยีดิจิทัลและโลกที่จับต้องได้แบบเดิม ยังคงต้องเดินไปพร้อมๆ กัน ไม่อย่างนั้น Amazon คงไม่ลงทุนก้อนใหญ่ซื้อ Whole Food แบรนด์ออร์แกนิค ซุปเปอร์มาเก็ตดังของอเมริกา Airbnb คงไม่สร้างอสังหาริมทรัพย์ของตัวเองเพื่อเตรียมขายเร็วๆ นี้  หรือ Uber คงไม่เริ่มขายรถมือสองในอเมริกา...สุดท้ายแล้วถ้าเราไม่หยุดเรียนรู้และพัฒนาตัวเองให้ทันโลกอยู่เสมอ จะ AI หรือเทคโนโลยีไหนๆ ที่จะเข้ามาก็จะเป็นเพียงตัวช่วยให้ชีวิตเราสะดวกสบายมากขึ้นเท่านั้น