วางแผนภาษีด้วย Final Tax อย่างไร ให้เกิดประโยชน์สูงสุด

เงินได้ที่มีการเสียภาษีสุดท้าย (Final Tax) คือ เงินได้ที่ถูกหักภาษี ณ ที่จ่ายไว้แล้ว โดยผู้มีเงินได้สามารถเลือกที่จะนำมารวมหรือไม่รวมคำนวณ ในการยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาตอนปลายปีได้


ปัจจุบัน  Final Tax มีอยู่ 5 ประเภท ได้แก่

ประเภทเงินได้

เงินได้ตามมาตรา

อัตราภาษีหัก ณ ที่จ่าย

ดอกเบี้ยต่างๆ (เช่น เงินฝาก พันธบัตรและหุ้นกู้)

40 (4)

15%

ผลต่างระหว่างราคาไถ่ถอนกับราคาจำหน่ายตราสารหนี้

40 (4)

15%

กำไรจากการโอนขายตราสารหนี้

40 (4)

15%

เงินปันผล

40 (4)

10%

เงินได้จากการขายอสังหาริมทรัพย์ (ได้ทางมรดก และไม่มุ่งค้าหรือหากำไร)

40 (8)

อัตราก้าวหน้า โดยสำนักงานที่ดินคิดภาษีหัก ณ ที่จ่ายให้

ดังนั้นกลยุทธ์สำคัญในการวางแผนภาษี คือ ต้องเข้าใจว่าตัวเองมีเงินได้อะไรบ้าง และมีเงินได้ใดที่ได้สิทธิ Final Tax ซึ่งหมายความว่าเราจะได้สิทธิในการนำเงินได้นั้นมารวมหรือไม่รวมยื่นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาตอนปลายปีนั่นเอง


การรวมรายได้ทุกประเภทที่ได้รับตลอดทั้งปีไปรวมยื่นแบบภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา มีความเสี่ยงที่จะมีเงินได้เพิ่มจนเกินอัตราภาษีที่เคยจ่าย เพราะอัตราภาษีไทยเป็นอัตราก้าวหน้า หมายความว่า ยิ่งมีรายได้มาก ยิ่งเสียภาษีในอัตราที่สูงขึ้น ดังนั้น หากตัดภาระที่เสียภาษีระหว่างปีที่ได้รับสิทธิ Final Tax ออกไป จะทำให้ลดความยุ่งยากในการยื่นภาษี และทำให้เราเสียภาษีเงินได้น้อยลงอีกด้วย


เพื่อให้เห็นภาพ เรามาดูตัวอย่างกันดีกว่า สมมติว่าคุณมีรายได้จากเงินเดือนและโบนัสอยู่ที่ปีละ 1 ล้านบาท ระหว่างปีได้รับดอกเบี้ยจากเงินฝากประจำ 10,000 บาท และได้ขายทาวน์เฮาส์ที่อาศัยมา 10 ปีได้ในราคา 2 ล้านบาท (มีราคาประเมิน 2 ล้านบาทเช่นกัน) เพื่อขยับขยายไปซื้อบ้านเดี่ยวชานเมือง คุณจะต้องวางแผนภาษีอย่างไร

ขั้นตอนแรก เรามาดูรายได้แต่ละประเภท และการคำนวณภาษีกันก่อนดีกว่า

 

รายได้จากเงินเดือนและโบนัส เป็นรายได้ในมาตรา 40(1) ซึ่งต้องเสียภาษีในอัตราก้าวหน้า มีวิธีคำนวณภาษี โดยสมมติว่าคุณมีซื้อประกันชีวิต 100,000 บาท มีการลงทุนใน RMF 50,000 บาท และจ่ายประกันสังคม 9,000 บาท ดังนี้

 

  • รายได้จากเงินเดือนและโบนัส

1,000,000 บาท

  • หัก ค่าใช้จ่าย (50% ของรายได้แต่ไม่เกิน 1 แสนบาท)

100,000 บาท

  • หักค่าลดหย่อนตัวเอง

       60,000 บาท

  • หัก เบี้ยประกันชีวิต     

       100,000 บาท 

  • หัก ประกันสังคม

          9,000 บาท

  • หัก เงินลงทุนใน RMF

   50,000 บาท

เงินได้สุทธิ

               681,000 บาท

 

คำนวณภาษีตามอัตราก้าวหน้าตามตาราง

 

เงินได้สุทธิต่อปี (บาท)

อัตราภาษี

ภาษีแต่ละขั้นเงินได้สุทธิ(บาท)

ภาษีสะสมสูงสุด (บาท)

0 – 150,000

ได้รับยกเว้น

0

0

150,001 – 300,000

5%

7,500

7,500

300,001 – 500,000

10%

20,000

27,500

500,001 – 750,000

15%

37,500

65,000

750,001 – 1,000,000

20%

50,000

115,000

1,000,001 – 2,000,000

25%

250,000

365,000

2,000,001 – 5,000,000

30%

900,000

1,265,000

> 5,000,000

35%

 

ดังนั้นจะเห็นว่าจากเงินได้สุทธิที่คำนวณได้ 681,000 บาท ทำให้คุณเสียภาษีอยู่ในอัตรา 15%

  • รายได้จากดอกเบี้ยเงินฝากประจำ 10,000 บาท (มาตรา 40 (4)) จะถูกหักภาษี ณ ที่จ่าย 15% (เป็น Final Tax) จะเห็นว่าถูกหักภาษี ณ ที่จ่ายเท่ากับอัตราภาษีที่คุณเสียอยู่ คือ 15% ดังนั้นเราจะเลือกใช้สิทธิ Final Tax

  • เงินได้จากการขายอสังหาริมทรัพย์แบบไม่มุ่งค้าหากำไร (มาตรา 40 (8)) มีวิธีการคำนวณเพื่อเสียภาษีหัก ณ ที่จ่าย โดยใช้ราคาประเมิน หักด้วยค่าใช้จ่ายเป็นการเหมาตามจำนวนปีที่ถือครอง ดังนี้

ระยะเวลาการถือครอง (ปี)

1

2

3

4

5

6

7

มากกว่า 8 ปี

ค่าใช้จ่ายที่หักได้ (%)

92

84

77

71

65

60

55

50

 

หากอสังหาริมทรัพย์นั้น ได้รับมาโดยทางมรดก หรือ รับจากการให้โดยเสน่หาให้หักค่าใช้จ่ายได้ ร้อยละ 50

  • จากตัวอย่าง ราคาประเมิน   2,000,000 บาท

  • หัก ค่าใช้จ่ายตามจำนวนปีที่ถือครอง (> 8 ปี = 50%)  1,000,000 บาท      
       
  • เงินได้หลังหักค่าใช้จ่าย  1,000,000 บาท

  • เงินได้เฉลี่ยต่อปี (เงินได้หลังหักค่าใช้จ่ายหารด้วยจำนวนปีที่ถือครอง)        100,000 บาท

  • ภาษีเงินได้เฉลี่ยต่อปี (0 – 300,000* เสียภาษี 5%)  5,000 บาท

  • ภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่าย (ภาษีเงินได้เงินได้เฉลี่ยต่อปี x จำนวนปีที่ถือครอง)  50,000 บาท

  • เมื่อคิดย้อนไปที่เงินต้น 2,000,000 บาท เท่ากับเสียภาษีเพียง 2.5% ดังนั้นเราจะเลือกใช้สิทธิ Final Tax เพราะหากมารวมเป็นรายได้เพื่อยื่นเสียภาษีเงินได้ประจำปี จะทำให้ฐานรายได้ของคุณสูงขึ้น และคุณจะเสียภาษีในอัตราก้าวหน้าที่สูงขึ้น

 

* การคำนวณภาษีจากการขายอสังหาริมทรัพย์ คำนวณตามอัตราก้าวหน้า และไม่ได้รับยกเว้นสำหรับเงินได้สุทธิ 0 - 150,000 บาทแรก

 

ดังนั้นแม้ว่าคุณจะมีรายได้จาก 3 ทาง คือ รายได้จากการทำงานประจำ รายได้จากดอกเบี้ยเงินฝาก และรายได้จากการขายอสังหาริมทรัพย์แบบไม่มุ่งค้ากำไร แต่คุณสามารถเลือกที่จะไม่นำรายได้จากดอกเบี้ยเงินฝาก และรายได้จากการขายอสังหาริมทรัพย์แบบไม่มุ่งค้ากำไรมารวมเป็นรายได้เพื่อยื่นภาษีเงินได้ประจำปี เพราะจะทำให้คุณมีโอกาสเสียภาษีในอัตราที่สูงขึ้นนั่นเอง


แล้วกรณีไหนที่ควรเอามารวมเป็นรายได้เพื่อยื่นภาษีเงินได้ประจำปีล่ะ ก็กรณีที่คุณไม่มีรายได้ระหว่างปีเลย และมีเงินได้จากดอกเบี้ยสัก 300,000 บาทในปีนั้น หัก Final Tax 15% เสียทันที 45,000 บาท


ทว่าหากนำส่วนนี้ไปคำนวณเงินได้บุคคลธรรมดาปลายปีโดยยื่นแบบ ภ.ง.ด.90 หักค่าใช้จ่ายได้ 0 บาท (ดอกเบี้ยไม่มีหักค่าใช้จ่าย) หักค่าลดหย่อนส่วนตัว 60,000 บาท เหลือ 240,000 บาท คำนวณภาษีตามอัตราก้าวหน้า โดยที่เงินได้ 150,000 บาทแรกได้รับยกเว้น และเมื่อเอา 90,000 บาทส่วนที่เกินไปคำนวณภาษี 5% ก็เท่ากับยื่นแบบเสียภาษีเพียง 4,500 บาท


สรุป สามารถขอคืนภาษีได้ 40,500 บาท หากไม่รู้หลักการนี้ และยอมให้หักภาษี 45,000 บาทไปเลย ก็จะไม่ได้เงินคืนภาษีตั้ง 40,500 บาท


ดังนั้นหลักการง่ายๆ ในการพิจาณาว่าจะใช้ Final Tax หรือไม่ คือ หากคุณมีเงินได้ที่ต้องเสียภาษีประจำปีในอัตราเท่ากับหรือสูงกว่าอัตรา Final Tax แล้วละก็ คุณเลือกเสีย Final Tax น่าจะดีกว่า แต่หากต้องการความถูกต้องแม่นยำ ให้ลองคำนวณทั้ง 2 แบบ แล้วเปรียบเทียบว่าวิธีไหนที่ทำให้เราได้สิทธิประโยชน์ทางภาษีมากที่สุด


กล่าวโดยสรุป ผู้มีเงินได้ทุกคนสามารถบริหารภาษี และเสียภาษีน้อยลงได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย ต้องรู้ 3 เรื่องได้แก่ เงินได้เรามีอะไรบ้างที่ต้องเสียภาษี.เงินได้อะไรบ้างที่สามารถเสียภาษีได้เลยตั้งแต่เมื่อได้รับ โดยไม่ต้องรวมปลายปี และเงินได้ที่ได้รับยกเว้นมีอะไรบ้างที่ไม่ต้องรวมในแบบ เพียงเท่านี้คุณก็สามารถบริหารภาษีได้อย่างมีประสิทธิภาพ


บทความโดย :  นิภาพันธ์ พูนเสถียรทรัพย์ CFP®  นักวางแผนการเงินอิสระ นักเขียนและวิทยากร