A++มาตรฐานแท็กซี่ญี่ปุ่น เนี้ยบสุด ได้โล่

ขึ้นชื่อว่าญี่ปุ่น ความเนี้ยบ ระเบียบเป๊ะ มาตรฐานขั้นสุดต้องมา ไม่เว้นแม้กระทั่งรถแท็กซี่ ถ้าเป็นบ้านเราคงมองว่าการเลือกอาชีพขับรถแท็กซี่เป็นเรื่องง่ายๆ แค่มีใบขับขี่รถสาธารณะก็ทำได้แล้ว หลายคนมองว่าเป็นอาชีพอิสระคือทำตามใจตัวเองยังไงก็ได้เสียด้วยซ้ำ แต่ที่ญี่ปุ่นนั้นตรงกันข้ามกว่าจะผ่านการสอบเพื่อรับใบอนุญาตก็ยากมหาโหด ยิ่งพอมาขับรถรับผู้สารจริงยิ่งมีขั้นตอนการตรวจสอบเป็นประจำทุกวันอย่างเข้มงวดเพื่อความปลอดภัยทั้งกับผู้โดยสารและคนขับเอง บทความนี้จะมาเล่าถึงมาตรฐานความปลอดภัยและความเป๊ะทุกขั้นตอนของแท็กซี่ในเมืองหลวงอย่างโตเกียว ที่อ่านจบแล้วคุณต้องคิดในใจว่าอยากให้แท็กซี่บ้านเรามีมาตรฐานสูงแบบนี้บ้างจัง


ปัจจุบันโตเกียวมีรถแท็กซี่อยู่ราว 4 หมื่นคัน โดยมีคนขับรถแท็กซี่อยู่ประมาณ 70,000 คน รถแท็กซี่ที่วิ่งให้บริการในโตเกียว 70% เป็นของบริษัท ส่วนที่เหลือเป็นแท็กซี่ส่วนบุคคลเหมือนบ้านเรา คนขับรถแท็กซี่จะมีรายได้ต่อปีอยู่ที่ 4.8 ล้านเยน หรือราว 1.45 ล้านบาท ก็ตกประมาณเดือนละ 120,000 บาท ปัจจุบันในโตเกียวยังอนุญาตให้ชาวต่างชาติมาเป็นคนขับรถแท็กซี่ได้ เนื่องจากการท่องเที่ยวที่เติบโตอย่างมากทำให้ความต้องการคนขับรถแท็กซี่ที่สื่อสารภาษาอื่นได้โดยเฉพาะภาษาอังกฤษมีความต้องการมากขึ้น แต่คนต่างชาติเหล่านั้นก็ต้องสามารถพูด อ่านและเขียน ภาษาญี่ปุ่นได้เป็นอย่างดี และต้องผ่านการสอบสุดหินเป็นภาษาญี่ปุ่นทั้งหมด เช่นเดียวกับคนญี่ปุ่นทั่วไป โดยไม่มีข้อยกเว้น

taxi2

การขับรถแท็กซี่ในโตเกียวต้องมีใบอนุญาตพิเศษ ในเมืองใหญ่อย่างโตเกียวหรือโอซาก้า แท็กซี่ต้องผ่านการทดสอบทั้งในเรื่อง Geography ของเมืองนั้น คือต้องรู้ถนนทุกสาย ย่านต่างๆ ทางลัดต่างๆ กฎจราจรและกฎระเบียบต่าง ๆ  ซึ่งต้องใช้เวลาศึกษานานหลายเดือนถึงจะผ่านการสอบได้ การสอบที่โตเกียวนั้นยากที่สุดเพราะเมืองมีความซับซ้อนมากกว่าเมืองอื่น แม้กระทั่งคนญี่ปุ่นเองยังถือว่ายากมากที่จะสอบผ่าน ดังนั้นคนต่างๆ ชาติที่คิดจะมาขับรถแท็กซี่ยิ่งยากกว่าหลายเท่า เมื่อผ่านและได้ทำงานแล้วยังมีกฎระเบียบที่ต้องปฏิบัติตามเป็นประจำอีกทุกครั้งที่ขับรถ


ถ้าใครเคยนั่งรถแท็กซี่ในญี่ปุ่นจะรู้ว่าเมื่อเรียกแล้วประตูจะเปิดให้เองโดยอัตโนมัติ ลูกค้าไม่ต้องเปิดและปิดประตูเอง ในรถจะมีระบบนำทางหรือ GPS พร้อม ค่าโดยสารรถแท็กซี่ที่โตเกียวเริ่มต้นที่ 420 เยน ต่อหนึ่งกิโลเมตร แท็กซี่ส่วนใหญ่รับบัตรเครดิตหรือ cashless payment ต่างๆ โดยที่ญี่ปุ่นจะไม่มีระบบการให้ทิปแก่แท็กซี่


เมื่อเริ่มต้นกะในแต่ละวันสิ่งที่คนขับต้องทำเป็นประจำคือ ต้องมาที่บอร์ดที่บอกหมายเลขรถและคนขับเพื่อหาชื่อตัวเองว่าวันนี้จะได้ขับรถคันไหน ซึ่งไม่มีรถที่จะขับประจำทุกวันเหมือนบ้านเรา รถจะเปลี่ยนตลอด หลังจากนั้นไปรับกุญแจ และรับสมุดเช็คลิสต์ ต่อมาต้องตรวจสอบสภาพรถตามเช็คลิสต์ให้ครบถ้วน เช่น เช็คน้ำมันเครื่อง เช็คไฟทุกจุดว่าทำงานปกติ ความสะอาดภายในห้องโดยสาร และบันทึกในสมุดเช็คลิสต์นั้น ขั้นตอนต่อไปคือทดสอบเป่าลมเพื่อตรวจสอบว่าไม่ได้ดื่มสุราของมึนเมามาก่อนขับรถ และหลังจากจบกะต้องทดสอบเป่าลมอีกครั้งเพื่อเช็คว่าไม่ได้ดื่มระหว่างการขับเช่นกัน เรียกว่าเช็คกันรอบคอบมากๆ  ก่อนจะออกรถต้องไปรายงานตัวกับผู้จัดการว่าขับรถเบอร์ไหน เข้านอนกี่โมง ตื่นกี่โมง นอนหลับกี่ชั่วโมง เพื่อแสดงว่านอนหลับเพียงพอ มีสุขภาพดีพร้อมขับรถอย่างปลอดภัยและส่งเช็คลิสต์ว่าทำการตรวจรถตามรายการเรียบร้อยและรถมีสภาพดีพร้อมใช้ และบอกกับผู้จัดการว่าจะขับรถด้วยความระมัดระวัง ผู้จัดการอาจมีการเตือนเรื่องสภาพอากาศในแต่ละวัน เช่น วันนี้อาจมีฝนตกให้เพิ่มความระมัดระวัง และอย่าขับรถเกิน speed limit มือต้องอยู่ที่พวงมาลัยตลอดเวลา ขับรถด้วยความระมัดระวัง หลังจากนั้นก็สามารถออกรถได้ จะเห็นว่าบริษัทรถแท็กซี่ในญี่ปุ่นมีกฎระเบียบมากมาย และรอบคอบมากโดยเฉพาะมาตรฐานความปลอดภัยที่เข้มงวด โดยระหว่างกะต้องมีการพักอย่างน้อย 3 ชั่วโมง เพื่อให้มั่นใจว่าผู้ขับไม่เหนื่อยเกินไป อยู่ในสภาพที่พร้อมขับรถอย่างปลอดภัยตลอดเวลา

เมื่อจบกะต้องนำรถมาคืนที่บริษัท โดยจะมีการออกรายงานการขับรถซึ่งแสดงระดับความเร็วที่ขับตลอดกะ เช่น ขับรถในถนนธรรมดาต้องไม่เกิน 60 กิโลเมตรต่อชั่วโมง แต่ถ้าขับบนทางด่วนขับได้ 80 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ระบบดูได้ทั้งหมดว่าผู้ขับขับเกินระดับความเร็วที่กำหนดหรือไม่ และในรายงานยังบอกได้อีกด้วยว่าผู้ขับมีการพักรถ 3 ชั่วโมงตามที่กำหนดหรือไม่อีกด้วย นอกจากนั้นบริษัทยังเก็บข้อมูล Performance ของคนขับแต่ละคนอย่างเป็นระบบ สุดยอดจริงๆ จนอยากปรบมือให้


นอกจากการขับรถแท็กซี่ทั่วไป คนขับรถแท็กซี่สามารถสอบเพื่อเป็น Sightseeing Taxi ได้ด้วย ซึ่งทำงานคล้ายๆ การเป็นทัวร์ไกด์ คือนอกจากขับรถไปส่งตามจุดต่างๆ แล้วยังให้ข้อมูลเกี่ยวกับสถานที่นั่นๆ อีกด้วย ซึ่งจะสามารถทำให้มีรายได้เพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว แต่การทดสอบก็ยากเอาการ เช่น เบื้องต้นต้องสามารถจดจำทุกอย่างที่อยู่ในไกด์บุคส์ที่กำหนดคือ Discovery Tokyo ซึ่งมีทั้งเรื่องประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม แม้กระทั่งเพลงหรือหนังที่เป็นที่นิยม ซึ่งต้องจำให้ได้ทั้งหมด ถ้าผ่านการสอบแท็กซี่ต้องผ่านการอบรมการบริการลูกค้าจึงจะผ่านและเป็น Sightseeing Taxi ได้ ตอนนี้ในโตเกียวมี Sightseeing Taxi ประมาณ 2,000 คน


อ่านแล้วคิดเหมือนกันใช่มั้ยว่าอยากให้แท็กซี่บ้านเรามีมาตรฐานแบบญี่ปุ่นบ้างจัง ผู้ที่ต้องใช้แท็กซี่ในบ้านเราคงสบายใจขึ้นอีกเยอะ เพราะเขาให้ความสำคัญกับการให้บริการและความปลอดภัยของผู้โดยสารเกินร้อย เมื่อสถานการณ์โควิดกลับมาเป็นปกติแล้ว โตเกียวก็คงยังเป็นหนึ่งในจุดหมายปลายทางยอดฮิตของคนไทยเช่นเคย ไปญี่ปุ่นครั้งหน้าลองใช้บริการแท็กซี่ดูบ้างก็น่าจะเป็นอีกประสบการณ์ที่ดี พกบัตร SCB JCB ไว้จ่ายค่ารถแท็กซี่ก็สะดวกสบายไม่ต้องรอเงินทอน จะช้อปปิ้งหรือจะทานข้าวร้านรวงส่วนใหญ่ก็รับบัตรเครดิตแทบทุกร้านไม่มีติดขัด ไม่ต้องพกเงินสดติดตัวเยอะๆ ให้วุ่นวาย แถมยอดใช้ยังได้คะแนนสะสมไว้แลกของรางวัลที่ถูกใจได้อีกด้วย ทั้งสะดวก ทั้งคุ้มค่า ไปญี่ปุ่นทุกครั้งอย่าลืมให้บัตรเครดิต SCB JCB เป็นคู่หู คู่ช้อปของคุณนะ!