“แต่งงาน” หรือ “โสด” อยู่แบบไหนสบายกระเป๋ากว่ากัน

ประเทศไทยมีประชากรเพศหญิงสูงกว่าเพศชาย เหตุฉะนี้ จึงทำให้หญิงสาวน้อยใหญ่ครองสถานะโสดสตรองมากขึ้น ไม่ว่าจะเต็มใจหรือไม่ก็ตาม


แม้ว่าหลายคนจะขึ้นชื่อว่าเป็นหญิงเก่ง แสนแกร่ง กระนั้นก็อาจมีช่วงที่อดตั้งคำถามในใจไม่ได้ว่าที่จริงแล้ว “อยู่เป็นโสดหรือแต่งงาน” แบบไหนจะสบายกว่า? โดยเฉพาะเมื่อเปรียบเทียบกันเรื่องเงินๆ ทองๆ แล้ว โดยผิวเผินคนโสดอาจได้เปรียบเพราะไม่มีภาระ แต่เดี๋ยวก่อน! มาดูนโยบายภาครัฐที่ออกมาปีแล้วปีเล่า ทำไมมีแต่เอื้อให้กับคู่แต่งงานนะ ดูอย่างมาตรการลดหย่อนภาษีสำหรับลูกคนที่ 2 นี่สิ!


เอาล่ะ ทีนี้แบบไหนกันแน่ล่ะ ที่จะสบายกระเป๋ากว่า ลองมาเปรียบเทียบกันเลยดีกว่า


สิ่งสำคัญไม่ว่าจะโสดหรือไม่โสดก็ตามคือ “การวางแผน” ชีวิตหลังเกษียณ แน่นอนว่าคนโสดจะต้องอยู่ลำพัง จึงควรคิดไว้แต่เนิ่นๆ ว่าจะทำอย่างไรให้อยู่ได้อย่างสบายแม้วันหนึ่งไม่มีรายรับแล้ว  ส่วนคนมีคู่ แม้อาจมีลูกหลานคอยดูแล แต่การพึ่งพาตัวเองได้ คือสิ่งประเสริฐที่สุด หมั่นเก็บเล็กผสมน้อย ไม่ว่าคู่แต่งงานหรือโสด ก็มีสิทธิอยู่ในภายภาคหน้าแบบเท่าเทียมกันแน่นอน

‘คู่แต่งงาน’ ได้ลดหย่อนภาษี มีคนช่วยผ่อนแรง

เมื่อประเทศไทยก้าวขาเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุอย่างเป็นทางการ ปล่อยไว้นานๆ อาจขาดแคลนคนรุ่นใหม่มาสร้างสมดุล รัฐบาลจึงต้องเร่งหาไม้เด็ดมากระตุ้นให้คนไทยมีลูกมากขึ้น นั่นคือ “มาตรการทางภาษี” โดยรัฐบาลให้สิทธิลดหย่อนภาษีสำหรับสามีหรือภรรยาที่มีลูกคนที่สอง คนละ 60,000 บาทต่อปีภาษี ทั้งนี้เด็กต้องเกิดตั้งแต่ปี พ.ศ.2561 เป็นต้นไป


แค่นี้ยังไม่พอ รัฐบาลยังเอาใจคนมีคู่มากขึ้นไปอีก ด้วยการที่คู่สามีภรรยาสามารถนำค่าฝากครรภ์หรือค่าคลอดลูกไปหักเป็นค่าลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ตามจำนวนที่จ่ายจริงในแต่ละครั้ง แต่ไม่เกิน 60,000 บาท ซึ่งมาตรการภาษีทั้ง 2 สามารถใช้ได้ในการยื่นภาษีประจำปี 2562


นอกจากนี้ยังมีนโยบายเพิ่มค่าลดหย่อนให้กับคู่สามีภรรยาที่จดทะเบียนถูกต้องตามกฎหมาย โดยจะได้รับสิทธิค่าลดหย่อนเพิ่มคนละ 60,000 บาทต่อปี ซึ่งเพิ่มจากกฎหมายเดิมที่ให้สิทธิลดหย่อน 30,000 บาทต่อปี


ดังนั้น คู่ไหนมีแผนแต่งงาน อยากจะผลิตทายาทสืบสกุล จึงถือว่าเป็นช่วงเวลาทองฟังเพชรสำหรับการวางแผนเติมเต็มครอบครัว และต้องอย่าลืมว่าทุกเงื่อนไขใช้ได้กับคู่ที่จดทะเบียนกันถูกต้องตามกฎหมายเท่านั้น


นอกจากข้อได้เปรียบเรื่องภาษีแล้ว สุภาษิต “สองหัวย่อมดีกว่าหัวเดียว” ยังใช้ได้กับประโยชน์ของการมีคู่ เพราะค่าใช้จ่ายหลายอย่างยังนำมาผนึกแล้วหารสองได้ ทั้งค่าบ้าน, ค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน ทำให้ต้นทุนของการอยู่อาศัยอยู่ลดลงแบบ “หารครึ่ง” เสมอ

มีโซ่ทองคล้องใจ ค่าใช้จ่ายหนักตาม

มีข้อดีไปแล้ว แต่ข้อที่เป็นภาระหนักอึ้งที่ทำให้คู่รักคิดไม่ตกเสมอ หนีไม่พ้นการมี “ลูก” ปัจจัยที่ทำให้คู่แต่งงานเสียเปรียบคนโสดสักนิดในด้านการใช้จ่าย เพราะกว่าเด็กน้อยจะเติบโตได้อย่างมี “คุณภาพ” การศึกษาถือเป็นองค์ประกอบที่สำคัญอยางยิ่ง ต้นทุนการเลี้ยงลูกจึงมักแปรผันไปตามคุณภาพการศึกษาที่พ่อและแม่ใฝ่ฝันปั้นแต่งให้บุตรสุดรัก

‘คนโสด’ อิสระทางการเงินและชีวิต

รู้หรือไม่ว่าต้นทุนการจัดงานแต่งงานในปัจจุบัน ต้องมีเงินขั้นต่ำว่าด้วยหลัก 1 แสนบาทไปถึง 5 แสนบาท ดังนั้น เมื่อรู้เช่นนี้แล้ว จึงถือเป็นข้อดีอย่างแรกของการเป็นโสด ซึ่งไม่ต้องสิ้นเปลืองกับการใช้จ่ายพิธีการนี้


อีกอย่างที่สำคัญคือไม่ต้องกังวลเรื่องค่าเลี้ยงดูลูก ที่นับวันจะมีต้นทุนสูงขึ้นเรื่อยๆ ตามเงินเฟ้อและค่านิยมที่เปลี่ยนไปในสังคม


ข้อดีสำคัญอีกอย่างของการเป็นโสดคือ “อิสรภาพ” ซึ่งในที่นี้หมายถึง “อิสรภาพทางการเงิน” ที่ยังตัดสินใจและควบคุมการใช้จ่ายได้ด้วยตัวเอง 100% เป็นข้อได้เปรียบสำคัญที่อาจทำให้คู่แต่งงานที่ก้าวสู่ประตูวิวาห์ อาจมองย้อนกลับมาในสมัยชีวิตที่ยังเป็นโสดด้วยความอิจฉา (โดยเฉพาะท่านพ่อบ้านใจกล้าที่อุทิศเงินเดือนให้ศรีภรรยาดูแล)


การใช้จ่ายของคนมีคู่หลายๆ ครั้งต้องผ่านการปรึกษาหารืออยู่ตลอด อาจทำให้เกิดค่าเสียโอกาส ต่างจากคนโสดที่ตัดสินใจทำอะไรได้ฉับไว เช่น นำเวลาว่างไปทำงานที่ 2 เสริมฐานการเงินให้แกร่ง หรือการลงทุนในสินทรัพย์อื่นๆ ทำให้เกิดรายได้งอกเงยขึ้นมา หรือจะนำเงินไปตอบแทนบุพการี ก็จ่ายให้เต็มที่แบบไม่ต้องคิดแล้วคิดอีกถึงภาระครอบครัว

มีสุขลำพัง ไร้ภาระร่วมแบกหนี้สิน

นอกจากนั้น คนโสดยังควบคุมหนี้ได้ด้วยตัวเอง ต่างจากคนมีคู่ในทางกฎหมายซึ่งหนี้ของสามีเป็นของภรรยา และหนี้ของภรรยาเป็นของสามีด้วยเช่นกัน คู่แต่งงานจึงไม่สามารถปฏิเสธภาระเหล่านั้นได้เลย หากเกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันขึ้นในอนาคต


ความคล่องตัวในการตัดสินใจเรื่องสำคัญในชีวิต ก็เป็นอีกข้อได้เปรียบของคนโสด เช่น เมื่อมีโอกาสให้ย้ายงานหรือเปลี่ยนงานไปพบความท้าทาย หรือต้องย้ายไปที่ไกลขึ้น ก็เซย์เยสได้อย่างรวดเร็ว ส่วนคนมีคู่นั้น ด้วยความที่มีสมาชิกและการลงหลักปักฐานไปแล้ว จึงต้องคิดหน้าคิดหลังจนอาจชวดโอกาสดีๆ ไปไม่น้อย