SCB Index Funds โอกาสดีมีอยู่เสมอในโลกกว้าง

ปี 2565  ... ครึ่งปีแรกแม้ดูเป็นตลาดหมี  แต่โอกาสดีจะเป็นของผู้ค้นหา
 

  • ถ้าคุณเป็นนักลงทุนที่ลงทุนในตลาดหุ้นต่างประเทศในช่วงปี 63-64 ตั้งแต่โควิดเริ่มระบาด มาถึงการฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่งจากนโยบายสู้วิกฤตเต็มที่ของธนาคารกลาง ทั้งกดดอกเบี้ยนโยบายลงต่ำ และเพิ่มปริมาณสภาพคล่อง(QE) ส่งผลดีต่อตลาดหุ้นหลักๆไปทั่วโลก โดยเฉพาะประเทศที่ฟื้นตัวได้เร็ว เช่น สหรัฐอเมริกา ยุโรป ญี่ปุ่น และจีน ทำให้ 2 ปีที่ผ่านมา หลายท่านได้รับประสบการณ์ “หุ้นขึ้น” อย่างน่ายินดี  

  • มาปีนี้ 2565 เป็นที่ทราบกันดีว่า ในครึ่งปีแรก ปัจจัยการลงทุนมหภาคกลับดูแย่ลงในแทบทุกภาคส่วน มีสงคราม มีการขึ้นดอกเบี้ย มีการดูดสภาพคล่องออก และมีอัตราเงินเฟ้อเพิ่มขึ้นสูงมากในรอบหลายสิบปี คำว่า “ความเสี่ยงเศรษฐกิจถดถอย(Recession)” ถูกนำมาพูดถึงกันอย่างน่ากลัว ส่งผลให้ผลตอบแทนของสินทรัพย์เสี่ยงทั่วโลกในปีนี้ ติดลบกันแทบทั้งสิ้น ลองไล่เรียงผลตอบแทน YTD (Year to Date) ของตลาดหุ้นที่น่าสนใจ (ณ.วันที่ 31 พ.ค.)

                    o   ดัชนี MSCI World ลงทุนหุ้นกลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว -13%

                    o   สหรัฐอเมริกา Dow Jones -10%, S&P500 -13%, NASDAQ -24%

                    o   ยุโรป Euro Stoxx 600 -9%

                    o   จีน CSI300 -17%, ญี่ปุ่น Nikkei225 -6%, เกาหลีใต้ KOSPI -10%

                    o   อินเดีย Nifty50 -4.4%, ไทย SET +0.3%

  • ถ้าเราสังเกตดู จะพบว่าตลาดหุ้นทั่วโลกแม้จะเผชิญปัจจัยลบในปีนี้มาเหมือนกัน แต่กลับตอบสนองไม่เท่ากัน บางตลาดลงมาก บางตลาดลงน้อย ด้วยปัจจัยเฉพาะตัวของแต่ละประเทศ และแน่นอนว่า ในครึ่งปีหลัง 2565 มีบางประเทศที่กำลังจะก้าวข้ามผ่านโควิดอย่างสมบูรณ์ บางประเทศกำลังเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยว บางประเทศเตรียมพร้อมอัดฉีดเศรษฐกิจอย่างเต็มที่ และบางประเทศตลาดหุ้นได้ปรับฐานผ่านรอบย่อจนกระทั่ง Valuation ไม่แพงแล้ว โอกาสยังมีอยู่เสมอในโลกกว้าง

  • นี่จึงเป็นยุคสมัย ที่โอกาสการลงทุนกระจายอยู่ทั่วโลก ตลาดหุ้นติดลบที่หลายคนอาจกลัวในวันนี้ แต่สำหรับผู้วางแผนลงทุนระยะยาว นี่อาจจะเป็นโอกาสที่จะได้ซื้อของดี ในราคาที่ไม่แพง
scb-index-fund-01

เราจะทำอย่างไรในสถานการณ์แบบนี้?
 

  • ผลตอบแทนของตลาดหุ้นในแต่ละประเทศที่แตกต่างกันนี้ ทำให้แนวคิดกระจายการลงทุนไปยังต่างประเทศได้รับความน่าสนใจมากขึ้น แทนที่จะกระจุกการลงทุนอยู่เพียงแห่งเดียว ใครที่อยากลงทุนหุ้นต่างประเทศ แต่ไม่อยากยุ่งยาก และไม่ต้องการเสี่ยงลงทุนกับหุ้นที่ไม่คุ้นเคยเป็นรายตัว มีทางเลือกง่ายๆคือ ลงทุนตามดัชนีของตลาดหุ้นหลักๆทั่วโลก โดยลงทุนผ่าน Index Fund   

  • Index Funds คือ กองทุนรวมอิงดัชนี เป็นกองทุนรวมหุ้นที่ลงทุนในหุ้นทุกตัวที่ประกอบกันเป็นดัชนี บริหารโดยใช้กลยุทธ์การลงทุนเชิงรับ (Passive Management) ทำให้มีโอกาสได้รับผลตอบแทนใกล้เคียงดัชนีอ้างอิง

  • จะดีแค่ไหน หากมี Index Funds ที่ลงทุนตามดัชนีในทวีปหรือประเทศต่างๆให้เลือกลงทุน ทั้งอเมริกา ยุโรป จีน อินเดีย ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ และไทย นั่นก็จะเป็นโอกาสในการกระจายการลงทุนอันยอดเยี่ยม สามารถเลือกสรรได้ทุกตลาดชั้นนำทั่วโลก 

Index Funds อิงดัชนีมีหลายตลาด ไม่พลาดโอกาสลงทุนจากทั่วโลก
    

  • ขึ้นชื่อว่า “กองทุน” ก็ต้องคำนึงถึงประเภทของสินทรัพย์ที่กองทุนนำเงินไปลงทุน หรือที่นักลงทุนมักจะเรียกว่าไส้ในของกอง ซึ่งก็คือ หุ้นที่อยู่ในดัชนีตลาดหลักทรัพย์ต่างๆทั่วโลกนั่นเอง

  • Index Funds ลงทุนในหุ้นที่ลิสต์อยู่ในดัชนีตลาดหุ้นในประเทศต่างๆ  ดังนั้นเราก็ควรรู้จักดัชนีตลาดหุ้นอ้างอิงที่น่าสนใจ ได้แก่

                o   MSCI World Index เป็นดัชนีที่ประกอบด้วยหุ้นขนาดใหญ่และขนาดกลางของกลุ่มประเทศที่พัฒนาแล้ว เช่น สหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น อังกฤษ แคนาดา ฝรั่งเศส สวิตเซอร์แลนด์ เป็นต้น

                o   S&P500 : ดัชนีที่ประกอบด้วยหุ้น 500 ตัว ที่มีมูลค่าตลาดใหญ่ที่สุดในตลาด New York Stock Exchange และ NASDAQ

                o   Dow Jones : ดัชนีที่ประกอบด้วยหุ้นของบริษัทมหาชนขนาดใหญ่ 30  บริษัทในสหรัฐอเมริกา

                o   NASDAQ : ดัชนีหุ้นเทคโนโลยีจากสหรัฐอเมริกา

                o   STOXX Europe 600 ดัชนีที่ประกอบด้วยหุ้น 600 ตัว ของกลุ่มประเทศยุโรปที่พัฒนาแล้ว เช่น อังกฤษ ฝรั่งเศส สวิสเซอร์แลนด์ เยอรมัน

                o   CSI300 ดัชนีที่ประกอบด้วยหุ้นจีนขนาดใหญ่ 300 ตัว ในตลาดเซี่ยงไฮ้และเซินเจิ้น

                o   Nikkei 225 ดัชนีที่ประกอบด้วยหุ้น 225 ตัว ที่เป็นบริษัทชั้นนำของญี่ปุ่น จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์โตเกียว

                o   SET50 : ดัชนีที่ประกอบด้วยหุ้น 50 ตัว ที่มีมูลค่าตลาดใหญ่ที่สุดในตลาดหุ้นไทย
 

Index Funds เหมาะกับนักลงทุนประเภทใด?
 

  • นักลงทุนมือใหม่ ...เราเคยได้ยินคำว่า “มือใหม่ มักเลือกหุ้นผิดอยู่เสมอ” เพราะนักลงทุนมือใหม่มักจะมีปัญหาในการเลือกลงทุนหุ้นเป็นรายตัว ด้วยประสบการณ์ลงทุนที่น้อย มีข้อจำกัดในการหาข้อมูล เมื่อเทียบกับมือเก๋าที่ลงทุนมานาน  การลงทุนใน Index Funds เรามองภาพใหญ่ มือใหม่สามารถติดตามดัชนีของแต่ละตลาด คาดทิศทางตลาดในกรอบระยะเวลาหนึ่งได้ หาข้อมูลได้ง่ายกว่า

  • นักลงทุนระยะยาว เน้นสร้างพอร์ต กองทุน Index Funds เป็นกองทุนที่เหมาะในการใช้จัดพอร์ต เพื่อซื้อถือในระยะยาว เพราะลงทุนในหุ้นมูลค่าตลาดใหญ่ที่สุดของแต่ละดัชนี ผลตอบแทนเป็นไปตามการปรับตัวของดัชนีตลาดนั้นๆ สามารถถือติดพอร์ตได้ยาวนาน เพราะค่าธรรมเนียมบริหารจัดการถูกกว่า

  • นักลงทุนระยะสั้น เน้นเทรดทำกำไร ชอบหาจังหวะซื้อขายทำกำไรตามการเคลื่อนไหวของดัชนีอ้างอิง จับโอกาสตามเทรนด์เกาะกระแสดัชนีขาขึ้นหรือฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่ง ผ่านการลงทุนใน Index Funds เช่น หากเราพบว่าดัชนีตลาดหุ้นแห่งหนึ่งกำลังลดลง ปรับฐานหนักจากปัจจัยลบกระทบชั่วคราว ราคาหุ้นร่วงลงอย่างมีนัยสำคัญ แต่เรามีความมั่นใจว่าในกรอบเวลาหนึ่ง ดัชนีควรกลับมาได้ และยังมีศักยภาพที่จะเติบโตต่อไป จากพื้นฐานของหุ้นดีๆที่ลิสต์อยู่ในดัชนีนั้น ก็สามารถซื้อกองทุน Index Funds ของตลาดหุ้นนั้น เพื่อรอจังหวะฟื้นตัว เทรดทำกำไรได้  
     

Index Funds มีดีที่ตรงไหน ?

  • ค่าธรรมเนียมถูกกว่า : ย่อมหมายถึงโอกาสรับผลตอบแทนที่สูงขึ้นในระยะยาว เพราะค่าบริหารจัดการถูกกว่า และค่าธรรมเนียมในการซื้อกองทุน(Front end)ถูกกว่า

  • ซื้อหนึ่งกองหมายถึงกระจายซื้อหุ้นใหญ่หลายตัว : ซื้อกองทุนเดียวก็ได้หุ้นขนาดใหญ่มีมูลค่าตลาดสูงหลายตัว มักจะเป็นหุ้นที่ปัจจัยพื้นฐานดี  โดดเด่น มั่นคงและมีโอกาสเติบโต ของดัชนีตลาดหุ้นนั้นๆ

  • มีให้เลือกหลากหลาย : มีโอกาสให้เลือกลงทุนได้หลากหลาย  ทั้งประเทศหรือทวีปในการลงทุนทั่วโลก สร้างโอกาสตามรอบการฟื้นตัวและเติบโตของแต่ละประเทศได้

  • ได้กระจายความเสี่ยง : ช่วยลดความเสี่ยงในการลงทุนในหุ้นรายตัวลง เนื่องจาก Index Fund ลงทุนในหุ้นหลายตัวเพื่อให้ใกล้เคียงกับดัชนี จึงช่วยกระจายความเสี่ยงในการลงทุนในต่างกลุ่มอุตสาหกรรมไปในตัว 

ได้เวลาเข้าลงทุนใน Index Funds หรือยัง ?


ตลาดหุ้นใดๆเมื่อปรับลดลงจนถึงจุดต่ำสุดของรอบ จากนั้นจะเริ่มเป็นช่วงพักตัว ซึ่งอาจจะเคลื่อนที่ออกข้าง (sideway) อีกซักระยะ จึงเป็นจุดกลับตัว ปรับตัวเป็นขาขึ้น การที่นักลงทุนจะทราบจุดกลับตัวของแต่ละตลาดหุ้น เพื่อทยอยเข้าซื้อตามเป้าหมาย วิธีการหนึ่งก็คือ ติดตามปัจจัยการลงทุนของแต่ละประเทศ เมื่อตลาดหุ้นรับข่าวปัจจัยลบต่างๆกระทั่ง price in เข้าไปในดัชนีอย่างเต็มที่แล้ว นั่นจะเป็นจังหวะที่ดีในการเริ่มทยอยสะสม
 

  • ตลาดหุ้นอเมริกา :  แม้ภาพรวมเศรษฐกิจสหรัฐอเมริกายังคงฟื้นตัวได้ดีและยังได้รับผลกระทบจากสงครามรัสเซียและยูเครนน้อยกว่าประเทศอื่นๆ(โดยเฉพาะยุโรป) แต่ตลาดหุ้นก็ยังถูกกดดันจากอัตราเงินเฟ้อในประเทศที่พุ่งสูงและนโยบายการเงินที่เข้มงวด ทั้งการปรับขึ้นดอกเบี้ยของ FED และการลดสภาพคล่อง ประมาณการว่าภายในช่วงไตรมาส 3 เราจะได้เห็นจุดสูงสุดของอัตราเงินเฟ้อพร้อมกับประมาณการจุดสูงสุดของ Bond Yield ซึ่งเมื่อผ่านจุดสูงที่สุด นั่นจะเป็นช่วงเวลาที่ตลาดหุ้นกลับมาน่าสนใจอีกครั้ง

  • ตลาดหุ้นยุโรป :  เป็นทวีปที่ได้รับผลกระทบทางตรงจากสงครามรัสเซียและยูเครน โดยเฉพาะความมั่นคงด้านพลังงาน ส่งผลให้ต้นทุนพลังงานและอาหารพุ่งสูง อัตราเงินเฟ้อพุ่งสูงขึ้น จนกดดันให้ธนาคารกลางยุโรป (ECB) อาจจำเป็นต้องใช้นโยบายการเงินที่เข้มงวดแนวทางเดียวกันกับสหรัฐอเมริกา ซึ่งจะกดดันต่อตลาดหุ้น ถือว่าเป็นทวีปที่ยังคงรับผลกระทบอย่างต่อเนื่องจากสงคราม

  • ตลาดหุ้นจีน : เพิ่งผ่านความบอบช้ำจากมาตรการปิดเมืองใหญ่อย่างเข้มข้นเพื่อควบคุมโควิดระบาด รวมทั้งนโยบาย Zero Covid ที่ทำให้ยังคงปิดประเทศต่อไป ส่งผลให้ภาพรวมเศรษฐกิจจีนปีนี้ชะลอตัวลง จึงมีโอกาสสูงที่รัฐบาลจีนอาจจะใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม โดยเฉพาะมาตรการผ่อนคลายทางการเงิน และการอัดฉีดกระตุ้นเศรษฐกิจขนานใหญ่ ซึ่งสวนทางกับอเมริกาและยุโรป ซึ่งจะเป็นปัจจัยบวกต่อตลาดหุ้นที่ปรับตัวลงแรงในช่วงที่ผ่านมา อย่างไรก็ตาม แม้ว่า Valuation หุ้นจีนจะเข้าโซน”ถูก”แล้ว แต่ตลาดหุ้นจีนยังคงมีความเสี่ยงสำคัญให้ติดตามอีก 2 เรื่อง คือ ความเสี่ยงจากมาตรการกำกับดูแลโดยรัฐ (Regulatory Risk)ในกิจการบางประเภท และความเสี่ยงด้านอสังหาฯ (ผิดนัดชำระหนี้) 

  • ตลาดหุ้นไทย : ด้วยสถานการณ์โควิดที่ดีขึ้นมากและอัตราการฉีดวัคซีนที่ครอบคลุมทั่วประเทศ ประเทศไทยกำลังผ่อนคลายการล็อคดาวน์โดยลำดับ นำไปสู่การเปิดเมืองเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยว ซึ่งเป็นตัวแปรสำคัญต่อแนวโน้มเศรษฐกิจและกำไรบริษัทจดทะเบียน ครึ่งปีหลังดูมีโอกาสฟื้นตัวได้จากการ Reopening ธุรกิจเต็มตัว
     

เริ่มลงทุน Index Funds กันวันนี้
 

ลงทุนเกาะดัชนีไปกับ SCB Index Funds บน SCB Easy ลงทุนง่าย ที่เดียวจบครบทุกตลาดหุ้นชั้นนำ มีกองทุนหลากหลายให้เลือกมากถึง 19 กองทุน  ครอบคลุมทุก Index fund เข้าถึงทุกตลาดหุ้นชั้นนำทั่วโลกกว่า 10 ตลาด 4 ทวีป

  • ลงทุนหุ้นกลุ่มประเทศพัฒนาแล้วทั่วโลก : SCBWORLD(A)
  • ลงทุนตลาดหุ้นอเมริกา : SCBS&P500 SCBDJ(A) และ SCBNDQ(A)
  • ลงทุนตลาดหุ้นยุโรป : SCBEUEQ
  • ลงทุนตลาดหุ้นเอเชียยกเว้นญี่ปุ่น : SCBAX(J)
  • ลงทุนตลาดหุ้นเอเชีย : จีน SCBCHA SCBCEH, ญี่ปุ่น SCBNK225, เกาหลี SCBKEQTG, อินเดีย SCBINDIA,และ ไทย SCBSET, SCBSET50
     

ทำไมต้อง SCB Index Fund ? … เพราะ “ลงทุนง่าย ที่เดียวจบ ครบทุกตลาดชั้นนำ”
 

  • ลงทุนที่ SCB Easy มีกองทุน Index Fund มากมายหลายตลาดให้เลือกสรร ไม่ต้องเปิด บช. แยก ไม่ต้องไปสาขา ไม่ต้องโหลด App เพิ่ม

  • กองทุน Index fund ของ SCBAM มีมูลค่าหน่วยลงทุนโดยรวมใหญ่ที่สุดในอุตสาหกรรม

  • ชอบตลาดไหน หรือชอบทุกตลาด ก็สามารถเลือกกระจายความเสี่ยงได้ ซื้อแบบถัวเฉลี่ยต้นทุน DCA (dollar cost averaging) ได้ ซื้อ SSF/RMF ก็ตัดผ่านบัตรเครดิตได้

  • ชอบกอง IPO ก็สามารถติดตามได้ และยังมีแคมเปญ Fund Back, Cash Back บ่อยๆ 
     

เป็นเจ้าของ Index Funds วันนี้ เริ่มต้นยังไง ?


ใครสนใจ อย่าช้า เริ่มต้นวันนี้ ด้วยการดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน SCB Easy แล้วทำตาม 3 ขั้นตอนง่ายๆนี้

1. เปิดบัญชีกองทุนผ่าน SCB Easy App

2. ผูกบัญชีกองทุนบน SCB Easy App

3. ซื้อกองทุนผ่าน SCB Easy App

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ :https://www.scb.co.th/th/personal-banking/investment/fund/mutual-funds/index-fund.html

#SCB x  #นิ้วโป้งFundamentalVI
#SCBEASY
#IndexFunds
การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลก่อนตัดสินใจลงทุน