ถ้าเกิดสงครามโลก นักลงทุนควรลงทุนอย่างไร

เมื่อพูดถึงสงครามโลกเราจะนึกถึงความขัดแย้งที่เกิดขึ้นระหว่างประเทศต่างๆ ที่พยายามชิงอำนาจในด้านเศรษฐกิจ การแย่งทรัพยากรระหว่างประเทศ  การชิงความได้เปรียบทางขั้วอำนาจและอุดมการณ์ทางการเมืองรวมถึงความเชื่อในด้านศาสนา  ทั้งนี้สงครามโลกทั้ง 2 ครั้งที่ผ่านมาสาเหตุมาจากความขัดแย้งระหว่างประเทศที่มีอำนาจจนนำไปสู่การเกิดสงครามโลก ที่ส่งผลกระทบลามไปทั่วโลกอย่างกว้างขวาง รวมไปถึงสงครามเย็นระหว่างสหรัฐอเมริกาที่เป็นตัวแทนอุดมการณ์ทางการเมืองฝั่งประชาธิปไตยและอดีตสหภาพโซเวียตที่เป็นตัวแทนอุดมการณ์ทางการเมืองในฝั่งสังคมนิยม


ในปัจจุบันคงหนีไม่พ้นความขัดแย้งทางการค้าระหว่างประเทศมหาอำนาจเพื่อแย่งชิงความเป็นมหาอำนาจด้านเศรษฐกิจและเทคโนโลยี รวมถึงการแข่งขันในการเป็นชาติมหาอำนาจเพื่อกำหนดทิศทางและความสัมพันธ์ทางการเมืองระหว่างประเทศจนสามารถเป็นผู้นำในการจัดระเบียบโลก (World Order) ซึ่งหมายถึงการมีบทบาทในการเป็นผู้กำหนดระเบียบหลักที่โลกยึดถือและทำให้เกิดผลประโยชน์แก่ผู้มีอำนาจในการจัดระเบียบโลกได้  เหมือนเช่นในอดีตที่สหรัฐอเมริกาเคยทำมาแล้วในยุคหลังสงครามโลกครั้งที่  2 ที่ได้เปลี่ยนระเบียบโลกจากประเทศมหาอำนาจในฝั่งยุโรป กลายมาเป็นสหรัฐอเมริกาในการเป็นมหาอำนาจใหม่แทน พร้อมจัดระเบียบโลกใหม่ เช่น  อุดมการณ์ปกครองในระบอบประชาธิปไตย  การเปิดการค้าเสรี  การใช้สกุลเงินดอลล่าร์สหรัฐในการเป็นสกุลเงินหลักของโลก เป็นต้น


ทำให้หลายคนเกิดคำถามว่า หากประเทศมหาอำนาจมีความขัดแย้งจนทำให้เกิดเป็นสงครามโลกครั้งที่ 3 ที่สร้างความโกลาหลไปทั่วโลกทั้งในแง่เศรษฐกิจ สังคม ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ การแบ่งแยกข้างของแต่ละประเทศ รวมไปถึงการขาดแคลนในทรัพยากรที่สำคัญ เช่น อาหาร  ยารักษาโรค รวมไปถึงอาวุธยุทโธปกรณ์สมัยใหม่ที่ใช้เทคโนโลยีในการผลิต  สำหรับคนที่เป็นนักลงทุนควรปรับตัวและลงทุนอย่างไรหากอยู่ในช่วงสงครามโลกมาหาคำตอบไปด้วยกัน

war1

ปรับพอร์ตลงทุน

ควรปรับพอร์ตลงทุนในสินทรัพย์ปลอดภัย (Safe Haven) ก็คือการลงทุนในสินทรัพย์ที่คาดว่าจะรักษาเงินต้นหรือเพิ่มมูลค่าในช่วงเวลาที่สภาวะเศรษฐกิจเกิดการผันผวน และสามารถลดความเสี่ยงในกรณีที่กำลังเข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ อย่างเช่นในภาวะสงคราม หรือการลงทุนในบริษัทที่ได้ผลประโยชน์จากสงคราม


ตัวอย่างการลงทุนในสินทรัพย์ปลอดภัย (Safe Haven)

  • พันธบัตรรัฐบาล ที่มีความเสี่ยงต่ำ เนื่องจากรัฐบาลรับประกันการคืนเงินต้นพร้อมดอกเบี้ย
  • ทองคำ เพราะเป็นสินทรัพย์ที่จับต้องได้ และมูลค่าของทองคำไม่ได้รับผลกระทบจากอัตราดอกเบี้ย เมื่อเกิดภาวะเศรษฐกิจซบเซาหรือเข้าสู่วิกฤติ ราคาทองคำจะเพิ่มสูงขึ้นเนื่องจากเป็นที่ต้องการเพิ่มขึ้น เพราะเป็นหลักประกันที่จับต้องได้
  • เงินฝากออมทรัพย์ แม้จะได้ดอกเบี้ยต่ำแต่ก็ช่วยรักษาเงินต้นได้
  • หุ้นปลอดภัย (Defensive Stock) เป็นหุ้นที่ทนทานต่อทุกสภาวะเศรษฐกิจ ส่วนใหญ่เป็นหุ้นที่พื้นฐานค่อนข้างแข็งแกร่ง ความเสี่ยงต่ำ เช่น หุ้นไฟฟ้า หุ้นน้ำประปา หุ้นโรงพยาบาล หุ้นสินค้าอุปโภคบริโภค  หุ้นทางด่วน หุ้นรถไฟฟ้า เป็นต้น


ตัวอย่างการลงทุนที่ได้รับอานิสงค์ผลจากสงคราม

  • บริษัทที่ได้รับอานิสงค์จากสงคราม  เช่น   บริษัทผลิตอาวุธ, บริษัทผลิตเครื่องบิน ฯลฯ
  • บริษัทที่ผลิตสินค้าปัจจัยสี่ เช่น อาหาร น้ำ ยารักษาโรค  เป็นต้น
  • บริษัทน้ำมัน  เพราะน้ำมันถือว่าเป็นยุทโธปกรณ์อย่างหนึ่งและราคามักปรับตัวสูงในช่วงสงคราม


จะเห็นได้ว่านักลงทุนจำเป็นต้องศึกษาหาข้อมูลและความรู้อย่างสม่ำเสมอ เพื่อจะได้ทันต่อสถานการณ์ความเป็นไปของโลก ทั้งภาวะเศรษฐกิจและวิกฤตการณ์สำคัญต่างๆ เพื่อที่จะได้ลงทุนในจังหวะที่เหมาะสม รวมถึงต้องกระจายการลงทุนเพื่อลดความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นได้จากความผันผวนของภาวะเศรษฐกิจ และควรปรับพอร์ตลงทุนตามสถานการณ์เพราะสินทรัพย์แต่ละประเภทมีความเสี่ยงและได้รับผลตอบแทนไม่เท่ากันในแต่ละช่วงเวลาและสถาการณ์  สนใจลงทุนเพื่อกระจายความเสี่ยง  ดูรายละเอียดได้ที่ SCB Easy  App  : https://scb.co.th/th/personal-banking/digital-banking/scb-easy.html


หมายเหตุ :  ควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทนและความเสี่ยง ก่อนตัดสินใจลงทุนและผลการดำเนินงานในอดีตของกองทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต


ข้อมูล

http://www.investerest.co/investment/wwiii/

https://www.longtunman.com/20582

http://www.digitalschool.club/digitalschool/social2_1_1/m6_2/content/lesson2/lesson2_1.php

https://www.bot.or.th/Thai/ResearchAndPublications/articles/Pages/Article_29Oct2020.aspx