มาแล้ว! นวัตกรรมใหม่ของวงการประกัน

ในปัจจุบันนี้ ไม่ว่าจะหันไปทางไหน เราจะได้ยินคำว่า “FinTech” กันไม่มากก็น้อย ซึ่ง FinTech คือ นวัตกรรมทางการเงินที่ถูกนำมาใช้ร่วมกับเทคโนโลยีที่มีบทบาทกับชีวิตประจำวันของเรา เช่น  สมาร์ทโฟน อินเทอร์เน็ต และระบบออนไลน์ต่างๆ ที่ภาคการเงิน การลงทุนได้พัฒนากันอย่างกว้างขวาง ตัวอย่าง FinTech ที่เห็นได้อย่างชัดเจน เช่น การทำธุรกรรมทางการเงินต่างๆ ผ่านระบบออนไลน์ด้วย Internet Banking หรือ Mobile Banking รวมไปถึงการซื้อขายหลักทรัพย์หรือกองทุนรวมต่างๆ ผ่านทางออนไลน์ เป็นต้น กระแสการใช้เทคโนโลยีต่างๆ เหล่านี้เกิดขึ้นเพื่อตอบโจทย์พฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไปเนื่องจากการเข้าถึงอินเทอร์เน็ตที่กว้างขวางและสะดวกมากขึ้นนั่นเอง


แน่นอนว่าในธุรกิจประกันภัยเองก็หนีไม่พ้นความเปลี่ยนแปลงนี้เช่นกัน เราจึงเริ่มได้ยินคำว่า “InsurTech” กันมากขึ้น คำว่า “InsurTech” เป็นคำที่ประสมระหว่างคำว่า “Insurance” และ “Technology” แปลว่า การใช้เทคโนโลยีมาพัฒนาธุรกิจประกันภัย ซึ่งเราถือว่า InsurTech นั้นเป็นส่วนหนึ่งของ FinTech เช่นกัน ซึ่งในต่างประเทศมีการทำประกันภัยในรูปแบบของ InsurTech มาหลายปีแล้ว แต่ในประเทศไทยยังอยู่ในช่วงเริ่มพัฒนา บางบริษัทประกันได้เริ่มนำเทคโนโลยีมาใช้ร่วมกับการขายประกันและให้บริการลูกค้าผู้ถือกรมธรรม์แล้ว


InsurTech สามารถเข้ามาช่วยแก้ปัญหาและพัฒนาประสิทธิภาพให้กับการทำประกันภัยแก่เราได้ ดังนี้

  • สำหรับลูกค้าหรือผู้ที่มีความต้องการซื้อประกันภัย ต้องยอมรับว่าในปัจจุบันอาจยังมีข้อจำกัดในการซื้ออยู่หลายๆ ด้าน เช่น ความคุ้มครองที่เสนอขายไม่หลากหลายและยังไม่ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าอย่างแท้จริง ความคุ้มครองที่ไม่ครบถ้วน ค่าเบี้ยประกันที่อาจจะสูงเกินไปสำหรับผู้ที่มีรายได้น้อย ปัญหาต่างๆ เหล่านี้เกิดจากความไม่ยืดหยุ่นของแบบประกันที่ถูกกำหนดขึ้นมา ซึ่ง InsurTech สามารถช่วยในการวิเคราะห์และประมวลผลจากข้อมูลที่มีอยู่ว่า จากความต้องการของเรา หรือจากข้อมูลส่วนตัวของเราที่ได้ให้ข้อมูลไปนั้น เราจะมีความเสี่ยงด้านไหน ควรทำประกันอะไร เท่าไหร่บ้าง ถึงจะเหมาะสม และคัดเลือกหรือแนะนำแบบประกันที่ตอบโจทย์และคุ้มค่าที่สุดจากฐานข้อมูลมาแนะนำให้ได้ทันที

  • ลดข้อจำกัดต่างๆ ของลูกค้าในการเข้าถึงธุรกิจประกันภัยที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน ซึ่งนิยมขายผ่านตัวแทน การซื้อประกันจึงตั้งอยู่บนพื้นฐานของความสัมพันธ์ระหว่างตัวแทนกับลูกค้า ไม่ได้อยู่บนความต้องการที่แท้จริงของลูกค้า ไม่แปลกที่ลูกค้าส่วนมากจะซื้อประกันที่ไม่ครอบคลุมความต้องการของตัวเอง แต่ InsurTech จะทำให้ผู้บริโภคสามารถเข้าถึงสินค้าและบริการของบริษัทประกันได้ง่ายขึ้น ผ่านช่องทางออนไลน์ที่มีอยู่ในมือ ซึ่งจะเป็นประโยชน์กับธุรกิจในระยะยาว
  • มีการเก็บข้อมูลของลูกค้าผู้ซื้อประกันอย่างเป็นระบบ และสามารถนำข้อมูลดังกล่าวมาวิเคราะห์ระดับความเสี่ยงของลูกค้าเป็นรายบุคคล เพื่อสะท้อนไปที่เบี้ยประกันที่เหมาะสมและเป็นธรรมกับลูกค้า ทำให้ลูกค้าได้ซื้อประกันที่เหมาะสมและมีการชำระเบี้ยประกันที่สอดคล้องกับความสามารถในการชำระเบี้ยของลูกค้าได้
  • ในด้านของประกันวินาศภัย เช่น ประกันรถยนต์ InsurTech สามารถช่วยเรื่องการคิดเบี้ยประกันตามระยะทางหรือระยะเวลาจริงในการใช้รถยนต์ ทำให้ลูกค้าได้รับประโยชน์จากเบี้ยประกันที่ถูกลงหากไม่ได้ใช้รถยนต์บ่อยๆ
  • ประโยชน์ในด้านการเคลม โดยปกติหากประสบเหตุ เช่น เกิดอุบัติเหตุทางรถยนต์ กว่าจะเคลมได้แต่ละครั้ง นอกจากต้องใช้เอกสารหลักฐานวุ่นวายจำนวนมากแล้ว ยังต้องรอบริษัทประกันหรือผู้สำรวจภัยมาตรวจสอบความเสียหาย หรือพิสูจน์อีกว่าใครผิดใครถูก ทำให้เสียเวลานาน InsurTech สามารถช่วยพัฒนาระบบการรับแจ้งเคลม ให้เป็นแบบออนไลน์ มีการเชื่อมต่อข้อมูลด้วยกันทั้งหมด ทำให้การติดตามและสืบค้นข้อมูลมีความสะดวกง่ายดายมากขึ้น และได้รับการอนุมัติสินไหมที่รวดเร็วขึ้นอีกด้วย


สิ่งเหล่านี้เป็นเพียงตัวอย่างบางส่วนของ InsurTech ทำให้เห็นว่า InsurTech จะมีบทบาทในการพัฒนาธุรกิจประกันภัยของประเทศไทยต่อไปในอนาคต และจะเป็นประโยชน์กับลูกค้าและบริษัทประกันภัยได้อย่างไร ซึ่งไม่ว่าเราจะอยู่ในฐานะใดก็ตาม ควรที่จะต้องหมั่นติดตามข้อมูลข่าวสาร และทำตัวให้พร้อมกับการเปลี่ยนแปลง เพราะการเปลี่ยนแปลงมีทั้งผลกระทบด้านบวก และด้านลบเสมอ เราจะได้เข้าใจ และสามารถใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีได้อย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด


บทความโดย: นิภาพันธ์ พูนเสถียรทรัพย์ CFP® นักวางแผนการเงินอิสระ นักเขียนและวิทยากร