• ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์: สงครามยูเครนและตะวันออกกลางฉุดเศรษฐกิจโลกและสร้างความไม่แน่นอนระยะยาว
• การกีดกันทางการค้า: นโยบายภาษีจากสหรัฐทำให้การค้าโลกตึงตัว ประเทศเล็กได้รับผลกระทบเต็มๆ
• โครงสร้างประชากรเปลี่ยน: โลกตะวันตกเข้าสู่สังคมสูงวัย ในขณะที่เอเชียกำลังกลายเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจใหม่
• เทคโนโลยีและ AI: กำลัง disrupt รูปแบบแรงงานและการทำธุรกิจเดิมๆ
• เศรษฐกิจไทยเองยังไม่ฟื้นเต็มที่จากโควิด และกำลังอยู่ในสภาวะ “Extreme K-Shape” คนที่รอดก็รอดไปเลย แต่คนที่เปราะบางกลับเหนื่อยขึ้นกว่าเดิม

แม้โลกจะเปลี่ยนไปเร็วเพียงใด SCB ยังคงเดินหน้ากลยุทธ์หลัก “Digital Bank with Human Touch” 

• ใช้ AI และเทคโนโลยีเชื่อมโยงกับการบริการที่ยังคง “ความเป็นมนุษย์”
• AI First: ยกระดับการวิเคราะห์และบริการแบบเฉพาะบุคคล
• เร่งสปีด digital : ตั้งเป้าให้รายได้จากธุรกรรม digital แตะ 25% ของพอร์ต
• Flight to Quality: มุ่งเน้นการปล่อยสินเชื่อและบริการในกลุ่มลูกค้าที่มีความเข้มแข็งและทนทานต่อเศรษฐกิจ

Wealth Democratization: ทำให้ “การบริหารความมั่งคั่ง” เป็นของทุกคน

• Wealth Management ไม่ใช่เรื่องของคนรวยเท่านั้น แต่เป็นทักษะที่ทุกคนต้องมีเพื่อสร้างอิสรภาพทางการเงินในยุคที่เส้นทางอาชีพสั้นลงและความผันผวนสูงขึ้น
• Wealth Management ของ SCB แบ่งเป็น 3 ระดับ: 

1. Ultra High Net Worth / Private Banking: ดูแลการส่งต่อธุรกิจและความมั่งคั่งระหว่างรุ่น
2. ระดับกลาง: เน้นแผนเกษียณและการสร้างพอร์ตที่ยั่งยืนในโลกที่เปลี่ยนเร็ว 
3. Mass Market: ให้คนทั่วไปสามารถวางแผนการเงินผ่าน SCB EASY และคำแนะนำ AI ได้อย่างเท่าเทียม

• หัวใจของ Wealth Democratization คือ ทุกคนควรมีสิทธิ์เข้าถึงข้อมูล ความรู้ และเครื่องมือทางการเงินที่เท่าเทียม

Go Global: เปิดโลกการลงทุนไปไกลกว่าประเทศไทย

• ผลักดันให้ลูกค้า ลงทุนแบบกระจายความเสี่ยงทั่วโลก ผ่านพันธมิตรระดับโลก
• จับมือ Julius Baer: Private Banking 
• ร่วมมือ BlackRock: สร้าง Exclusive Product และ Co-Research สำหรับนักลงทุนไทย 
• เทรน RM และพนักงานด้วยมาตรฐานระดับโลก เพื่อยกระดับบริการสู่สากล

3 หลักคิดใหม่ของ “Wealth” โดยคุณกฤษณ์ จันทโนทก

1. จากผลลัพธ์ → สู่ระบบ

“Wealth ที่แท้จริงไม่ใช่แค่ผลลัพธ์ปลายทาง… แต่คือระบบที่ยั่งยืน” เช่นเดียวกับการสร้างองค์กร ถ้าไม่มีระบบ ต่อให้เก่งแค่ไหนก็ยากจะเติบโต SCB เองก็กำลังสร้างระบบที่ทำให้ลูกค้าสามารถ “ฝากชีวิต” และให้เงินงอกเงยได้ แม้ไม่ต้องเฝ้าดูตลอด สำหรับเจ้าของกิจการ แนวคิดนี้หมายถึงการออกแบบธุรกิจให้ “อยู่ได้แม้ไม่มีเรา” และสามารถส่งต่อให้รุ่นต่อไปได้

2. Trust ทบต้น: ความเชื่อมั่น คือดอกเบี้ยระยะยาว

“ในโลกที่ข้อมูลล้น แต่ความเชื่อมั่นกลับหายาก ความเชื่อมั่นจึงกลายเป็นทรัพย์สินที่มีค่าที่สุด” และ “ความมั่งคั่ง” ต้องสร้างบนพื้นฐานของ Trust หรือ “ความเชื่อมั่น” เหมือนกับการลงทุนที่ดอกเบี้ยทบต้นจะยิ่งเติบโตในระยะยาว Trust ทบต้น (Compound Trust) จะยิ่งทำให้แบรนด์ องค์กร หรือความสัมพันธ์แข็งแรงขึ้นเรื่อยๆ ไม่ว่าจะเป็น

• ลูกค้าเชื่อมั่นธนาคาร
• พนักงานเชื่อมั่นองค์กร
• สังคมเชื่อมั่นในบทบาทของแบรนด์

ทั้งหมดนี้จะนำไปสู่ “ความมั่งคั่งที่มั่นคงและเติบโตได้ต่อเนื่อง”

3. Giving Back: สร้างระบบที่คืนกลับสู่สังคม

เมื่อมีระบบที่ดี และได้รับความเชื่อมั่นแล้ว ขั้นสุดท้ายของ Wealth ที่แท้จริงคือ “การใช้ความมั่งคั่งเพื่อสร้างคุณค่าให้กับคนอื่น” SCB เองอยากเป็นองค์กรที่ อยู่คู่สังคมไทย และเติบโตไปพร้อมกัน เพราะการคืนกลับไม่ใช่แค่การบริจาค แต่คือการสร้างระบบเพื่อให้คนอื่นได้เติบโตไปด้วย

ตัวอย่างแนวคิด:

• ลูกค้ามั่งคั่ง → ส่งต่อความมั่งคั่งให้ลูกหลาน
• เจ้าของกิจการ → ดึง SMEs รายเล็กขึ้นมาด้วย
• ผู้ประกอบการที่ประสบความสำเร็จ → สร้างมูลนิธิหรือโครงการคืนกำไรให้ชุมชน

Wealth ที่แท้จริง ไม่ใช่แค่สิ่งที่คุณมี… แต่คือสิ่งที่คุณสร้าง และสิ่งที่คุณส่งต่อ

อนาคตของ Wealth Management: AI, Hyper-Personalization และ Legacy

ในอีก 3 ปีข้างหน้า SCB ตั้งเป้าพัฒนา: 

• AI ที่เข้าใจลูกค้าแบบรายบุคคล: ใช้ข้อมูลจากทุก touchpoint เพื่อออกแบบบริการเฉพาะตัว
• แพลตฟอร์มวางแผนการเงินดิจิทัล: ให้คนรุ่นใหม่ปรึกษาการเงินผ่าน Chatbot และใช้ AI ช่วยออกแบบแผนลงทุน
• การส่งต่อธุรกิจและความมั่งคั่ง (Legacy Planning): ช่วยเจ้าของกิจการและครอบครัววางรากฐานสู่รุ่นต่อรุ่น

SCB กำลังปรับตัวสู่การเป็น “ที่ปรึกษาทางการเงินของทุกคน” ภายใต้แนวคิด “Your Success, Our Success”เพื่อยกระดับความมั่งคั่งของคนไทยทั้งประเทศ

(อ้างอิง : รายการ The Secret Sauce EP.878 กฤษณ์ จันทโนทก SCB เดิมพันธุรกิจบริหารความมั่งคั่ง วันที่ 6 ส.ค. 68)