การขอความเห็นที่สองจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ

สองหัวดีกว่าหัวเดียว...วันรุ่งขึ้นหลังจากที่เพื่อนสนิทคนหนึ่งกลับจากไปพบแพทย์ที่โรงพยาบาล เขามีอาการซึมเศร้าอย่างเห็นได้ชัด จากคนร่าเริงสนุกสนาน แต่วันนี้กลับเงียบขรึมถามคำตอบคำและดูเหมือนนอนไม่หลับมาทั้งคืน กลางวันไปทานข้าวด้วยกันเลยค่อยๆ ถามดู เพื่อนพูดอย่างเศร้าๆ ว่าหมอบอกว่าเป็นมะเร็งในกระเพราะอาหาร เราเองฟังแล้วก็ถึงกับอึ้ง แต่ด้วยความที่ยังมีสติเลยบอกเพื่อนไปว่าลองไปตรวจอีกที่ไหมอาจจะมีอะไรผิดพลาดก็ได้  แต่ถ้าเป็นจริงๆ ก็จะได้รู้กันไปและเริ่มรักษา หลังจากนั้นสองวันเพื่อนก็ไปตรวจกับแพทย์อีกโรงพยาบาลหนึ่งซึ่งหลังการตรวจวินิจฉัยอย่างละเอียดคุณหมอท่านที่สองบอกว่าเพื่อนไม่ได้เป็นมะเร็ง รอยยิ้มและเสียงหัวเราะของเขาก็กลับมาอีกครั้ง และจากวันนั้นรวมเวลาเกือบ 10 ปีจนถึงทุกวันนี้ เพื่อนคนนี้ก็ยังมีสุขภาพแข็งแรงดีอยู่

สำหรับตัวฉันเองก็เคยมีประสบการณ์เกี่ยวกับเรื่องนี้เช่นกัน ถึงแม้ไม่ใช่โรคร้ายแรงอย่างมะเร็งแต่ก็ทำชีวิตวุ่นวายไปนาน ตอนนั้นฉันเป็นแผลในปากจำนวนมาก หมอให้ยารักษาเท่าไหร่ก็ไม่ดีขึ้น เวียนไปหาหมอคนเดิมหลายรอบก็ไม่หายสักที จนหมอบอกว่าคุณอาจเป็นวัณโรคในช่องปาก ฉันถึงกับอึ้ง หมอบอกต้องตัดเนื้อในปากไปตรวจ ตอนนั้นตกใจและงงมากว่ามันหนักขนาดนั้นเลยหรือ สุดท้ายฉันไม่ไปตัดชิ้นเนื้อในปากตามนัด แต่ไปรักษาที่โรงพยาบาลอื่นแทนปรากฎว่าฉีดยาเข็มเดียวกับยาที่ให้กลับมาทานที่บ้าน สองวันหายเลย!


อีกเคสหนึ่งเป็นเคสของคุณปู่ของฉันเอง โรงพยาบาลแห่งหนึ่งวินิจฉัยว่าคุณปู่เป็นโรคกระดูกเสื่อมให้ใส่เฝือกที่คอและทำกายภาพบำบัด เสียเวลาทำอยู่นานอาการไม่ดีขึ้นคุณปู่มีแต่ทรมาน มีแต่ทรุดลง สุดท้ายไปโรงพยาบาลใหม่พบว่าจริงๆ แล้วคุณปู่เป็นมะเร็งปอดขั้นลุกลามเสียแล้ว และหลังจากนั้นท่านก็เสียชีวิตไปในเวลาอีกไม่กี่เดือน


ไม่ใช่ไม่ไว้ใจหมอแต่เราก็ต้องดูแลตัวเองให้ดีที่สุด และเรามีสิทธิ์ที่จะได้รับข้อมูลอย่างละเอียดที่สุดเกี่ยวกับโรคที่เราเป็น รวมถึงทางเลือกในการรักษาในแบบที่เหมาะสมที่สุด เมื่อไรก็ตามที่เราได้รับคำวินิจฉัยโรคจากแพทย์ว่าเรากำลังป่วยเป็นโรคที่ไม่ปกติ ไม่ใช่ปวดหัวตัวร้อนทั่วไป หรือจำเป็นต้องรับการรักษาโดยการผ่าตัด หรือบางอย่างที่มากกว่ากินยา เมื่อนั้นเราควรจะมองหาความเห็นที่สองจากแพทย์ (second opinion) ไว้ด้วย


ในต่างประเทศบริการความเห็นที่สองเป็นที่นิยมมานานแล้ว เนื่องจากผู้คนตื่นตัวเรื่องสิทธิของผู้ป่วย ประกอบกับวัฒนธรรมต่างประเทศเอง ที่มองว่าหมอ เป็นอีกอาชีพหนึ่ง ไม่ต่างกับทนาย นักธุรกิจ หรือพนักงานบริษัทที่มีโอกาสทำงานผิดพลาดได้ เพราะหมอก็เป็นปุถุชนเหมือนทุกคน ดังนั้นการฝากความหวังทั้งหมดกับหมอเพียงคนเดียว ในต่างประเทศมองว่าเป็นความสุ่มเสี่ยงประมาณหนึ่ง ไม่ว่าจะเกิดจากการวินิจฉัยผิดพลาดจนทำให้รักษาไปผิดทาง ซึ่งกว่าจะรู้ก็สายเสียแล้ว

สำหรับคนไทยเราที่ค่อนข้างมีความขี้เกรงใจ  หมอว่าอย่างไรก็มักจะเชื่อตามนั้น  รักษาแล้วไม่หายก็ยังต้องกลับไปหาใหม่  ซึ่งความสัมพันธ์แบบนี้จริง ๆ แล้วก็มีข้อดีอยู่บ้างในการสร้างความเข้าใจและผูกพันระหว่างหมอกับคนไข้  เป็นลักษณะนิสัยของคนไทยในการให้ความนับถือผู้มีความรู้  ปัญหาความไม่เข้าใจจนนำไปสู่การฟ้องร้องหมอในบ้านเราจึงเกิดขึ้นน้อยมาก


การขอความคิดเห็นที่สองทางการแพทย์ (SECOND  OPINION  IN  MEDICINE  หรือ SECOND  MEDICAL  OPINION)  จึงกลายเป็นเรื่องใหม่ที่ไม่ค่อยเกิดขึ้นในบ้านเรากันมาก่อน  ซึ่งคำจำกัดความของความคิดเห็นที่สองทางการแพทย์ คือการเสาะแสวงหาความเห็นจากมุมมองที่แตกต่าง (ซึ่งอาจมีความเห็นที่เหมือนกันก็ได้)


การขอความคิดเห็นที่สองอาจเกิดขึ้นในกรณีต่อไปนี้

  1. เมื่อแพทย์แนะนำว่าโรคที่เราเป็นจะต้องได้รับการรักษาด้วยการผ่าตัด (ซึ่งรอได้ไม่เร่งด่วน)
  2. เมื่อแพทย์วินิจฉัยว่าเราเป็นโรคที่ร้ายแรง เช่น โรคมะเร็ง โรคหลอดเลือดหัวใจรุนแรง โรคก้อนเนื้อสมอง
  3. เมื่อสิ่งทีหมอบอกตรงกันข้ามกับความเชื่อของเรา
  4. บริษัทประกันหรือ THIRD PARTY เป็นผู้ร้องขอ
  5. หากเราเชื่อว่าหมออาจบกพร่องหรือผิดพลาดในการตรวจวินิจฉัยหรือรักษา
  6. ตัวหมอเองอาจเป็นผู้ขอให้ผู้ป่วยไปขอความคิดเห็นที่สอง


ในหนังสือ "WHEN DOCTOR BECOMES PATIENT" ที่เขียนโดยนายแพทย์ KLITZMAN อาจารย์แพทย์ที่มหาวิทยาลัยโคลัมเบียกล่าวถึงเรื่องนี้ว่า มีตัวเลขที่น่าสนใจว่า 18-30% ของแพทย์ที่ได้รับการขอคำปรึกษาจากผู้ป่วยหรือบริษัทประกันจะไม่เห็นด้วยกับแพทย์คนแรกที่แนะนำให้รักษาด้วยการผ่าตัด (แต่ไม่ได้ศึกษาว่าความเห็นของใครถูกต้องกันแน่ระหว่าง FIRST OPINION กับ SECOND OPINION) ยังมีการวิเคราะห์กันอีกว่าเหตุผลที่สำคัญที่ทำให้ผู้ป่วยส่วนใหญ่ต้องเสาะแสวงหาความคิดเห็นที่สองก็เนื่องจาก  ยากที่จะทำใจยอมรับกับโรคที่ตนเป็นโดยเฉพาะเรื่องโรคมะเร็ง  หรือยังทำใจไม่ได้กับข้อแนะนำของแพทย์คนแรกที่แนะนำให้ผ่าตัดทั้ง ๆ ที่คิดว่าตนเองไม่ได้เจ็บป่วยอะไรขนาดนั้น  และมีผู้ป่วยจำนวนไม่น้อยที่ไม่เชื่อหรือยังไม่ยอมรับในความเห็นของแพทย์คนที่สอง  อาจขอความเห็นที่สาม สี่ ห้า เลยก็มี

ข้อดีของการขอความคิดเห็นที่สองทางการแพทย์มีหลายประการแต่ข้อเสียก็อาจเกิดขึ้นได้เช่นเดียวกัน  ที่เห็นได้บ่อยคือการแสวงหาความเห็นหลากหลายจนไม่ได้ข้อสรุป  ใช้เวลาเนิ่นนานจนทำให้เสียเวลา  เสียโอกาสในการรักษา  โรคมะเร็งที่ลุกลามมากขึ้น  โรคหัวใจหรือหลอดเลือดรุนแรงมากขึ้นจนรักษาไม่ได้หรือเกิดภาวะแทรกซ้อนจนทำให้การรักษาทำได้ยากยิ่งขึ้น  หรือกรณีที่พบกันมากในปัจจุบันคือ  การปฏิเสธแนวทางการรักษาแพทย์แผนปัจจุบัน  แต่ไปเสาะหาการรักษาทางเลือก จนทำให้เสียโอกาสที่จะหายหรือดีขึ้นจากการรักษาโรคด้วยวิธีแผนปัจจุบัน


ข้อแนะนำในเวลาที่คิดว่าเราจำเป็นต้องไปขอความเห็นที่สองหรือขอความคิดเห็นเพิ่มเติมเกี่ยวกับการวินิจฉัยหรือการรักษาโรคของเราหรือคนใกล้ตัวมีดังนี้

  1. ต้องแน่ใจว่าไม่ทำให้เสียเวลาของกระบวนการตรวจรักษาที่ทำอยู่ จนอาจนำไปสู่การรักษาที่ไม่ทันท่วงทีหรืออันตรายต่อชีวิตผู้ป่วย
  2. ความคิดเห็นที่สอง ควรขอจากแพทย์ที่อยู่ในสาขานั้น ๆ โดยตรง การได้ความเห็นจากผู้เชี่ยวชาญหรือผู้ที่มีประสบการณ์ในโรคนั้นๆย่อมได้คำแนะนำที่ดีกว่า แต่ที่สำคัญไม่ควรปรึกษาแพทย์ที่มีทัศนคติขัดแย้งกัน เช่น โรงพยาบาลที่เป็นคู่แข่งกัน ซึ่งเราอาจจะสังเกตได้จากท่าทีของแพทย์ระหว่างให้ความเห็น (โดยทั่วไปแพทย์ส่วนใหญ่มักจะให้เกียรติกันและมักไม่ต่อว่ากันเอง)
  3. ควรเตรียมข้อมูลต่าง ๆ ให้พร้อมก่อนไปพบแพทย์ เช่น แฟ้มประวัติ ฟิล์มเอ็กซเรย์ ผลแลป ผลตรวจชิ้นเนื้อต่าง ๆ ถ้าจะให้ดี มีจดหมายจากแพทย์คนแรกไปด้วยจะดีที่สุด
  4. อาจทำการศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับโรคและการรักษาเพื่อให้มีความรู้ก่อนไป เวลาที่คุยกับแพทย์จะได้เกิดความเข้าใจมากขึ้น
  5. เมื่อได้รับความเห็นแล้ว จะถูกใจหรือไม่ถูกใจ เราสามารถใช้วิจารณญาณในการเชื่อหรือปฏิบัติตาม หรืออาจจะขอความคิดเห็นที่สาม สี่ ห้า ก็ได้ แต่ต้องย้ำเตือนตัวเองว่านี่ไม่ใช่เพราะเราดื้อไม่เชื่อใคร เพราะเราดึงดันมีความเชื่อส่วนตัว หรือเพราะเราหนีความจริง
  6. สถาบันใหญ่บางแห่งโดยเฉพาะในโรงเรียนแพทย์ หรือบางโรงพยาบาล มักจะมีการประชุมร่วมสหสาขา โดยเฉพาะกรณีผู้ป่วยมะเร็งซึ่งเราอาจจะสอบถามจากแพทย์ว่าจะขอนำเคสเข้าสู่การหารือในที่ประชุมดังกล่าวได้หรือไม่? ซึ่งวิธีนี้จะเป็นวิธีที่รอบคอบและมีโอกาสได้รับความเห็นที่มั่นใจได้มากที่สุด โดยเฉพาะในโรคที่การวินิจฉัยหรือการรักษามีความซับซ้อนมาก ๆ เช่น โรคมะเร็ง


วิวัฒนาการทางการแพทย์พัฒนาไปมาก  ไม่เพียงเรื่องของเทคโนโลยีการตรวจรักษา  แต่พฤติกรรมของตัวผู้ป่วยเองก็เปลี่ยนแปลงไปในทางที่พัฒนาขึ้นรักษาสิทธิของตัวเองมากขึ้นเช่นกัน  เรื่อง SECOND OPINOIN จึงถือเป็นเรื่องที่ดีที่ทำให้ทั้งตัวแพทย์และผู้ป่วยมีการทบทวนการตัดสินใจอย่างรอบคอบ เพื่อให้ได้ผลการวินิจฉัยที่ตรงที่สุดและวิธีการรักษาที่เหมาะสมที่สุดต่อไป


อ้างอิง

http://www.drkomgrit.com/article.aspx?id=35