20 – 10 กฎควบคุมเพดานหนี้

เชื่อว่าทุกคนไม่อยากกู้หนี้ยืมสิน แต่ในบางครั้งก็มีความจำเป็นในชีวิตที่ต้องยอมกู้เงินเพื่อเสริมสภาพคล่องหรือยอมเป็นหนี้เพื่อแก้ปัญหาบางอย่าง แปลว่า ถ้าเป็นผู้ที่มีวินัยและเห็นคุณค่าของเงิน กู้เงินแล้วจ่ายหนี้ตรงเวลา “หนี้” ก็ไม่ใช่สิ่งที่เลวร้าย แต่ถ้าหากเป็น “สายเปย์” ขาดสติในการใช้จ่าย มีโอกาสที่จะก่อหนี้ไปเรื่อยๆ และเมื่อถึงเวลาชำระหนี้ก็หาเงินไม่ทัน จนกลายเป็นผู้ที่หนี้สินท่วมหัว ยิ่งหนี้มากเท่าไหร่ก็ต้องใช้เวลาในการแก้ปัญหานานเท่านั้น

การขาดวินัยทางการเงิน เป็นปัจจัยสำคัญที่สามารถก่อให้เกิดปัญหาหนี้สิน โดยผู้ที่มีหนี้และมีปัญหาทางการเงินมักจะไม่ระมัดระวังในการใช้จ่าย มีไลฟ์สไตล์ที่ค่อนข้างสุรุ่ยสุร่าย และมักให้ความสำคัญกับความมีหน้ามีตาทางสังคม รวมทั้งขาดการประเมินกำลังซื้อของตนเอง


เป็นไปได้หรือไม่ที่ก่อนจะเป็น “สายเปย์” ควรเป็น “สายปกป้อง” ก่อน ด้วยการก่อหนี้ให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม ซึ่งการควบคุมเพดานหนี้หรือยอดหนี้สินไม่เกินขีดที่เหมาะสม โดยพิจารณาว่าควรที่จะกู้หนี้ยืมสินได้ไม่เกินเท่าไหร่ของรายได้ที่ได้รับต่อปี และควรมีภาระจ่ายชำระหนี้ต่อเดือนไม่เกินเท่าไหร่ของรายได้ในแต่ละดือน กฎควบคุมเพดานหนี้ เรียกว่า “กฎ 20 – 10”

1. ห้ามกู้เกิน 20% ของรายได้สุทธิประจำปี

ตัวอย่าง

  • ได้เงินเดือน 20,000 บาท หรือปีละ 240,000 บาท
  • เสียภาษี 7,500 บาทต่อปี
  • เหลือรายได้สุทธิ 240,000 – 7,500 = 232,500 บาทต่อปี (19,375 บาทต่อเดือน)
  • 20% ของรายได้สุทธิต่อปี = 46,500 บาท

นั่นคือ ไม่ควรสร้างหนี้เกิน 46,500 บาทต่อปี

โดยหนี้กลุ่มนี้ส่วนใหญ่จะเป็นหนี้ที่ก่อเพื่อการบริโภคหรือเพื่อสร้างความสุขสบาย เช่น หนี้บัตรเครดิต ช้อปปิ้ง ค่ามือถือ สมาชิกร้านค้าต่างๆ รวมถึงหนี้ผ่อนรถ ดังนั้น หนี้ก้อนนี้จึงไม่รวมเพื่อกู้ซื้อบ้าน หรือกู้เงินเพื่อการศึกษา

2. ห้ามผ่อนหนี้เกิน 10% ของรายได้สุทธิต่อเดือน

ตัวอย่าง

  • เหลือรายได้สุทธิต่อเดือน 19,375 บาท
  • 10% ของรายได้สุทธิต่อเดือน = 1,937 บาท

นั่นคือ ในแต่ละเดือนไม่ควรผ่อนหนี้เกิน 1,937 บาท โดยหนี้กลุ่มนี้ส่วนใหญ่จะเป็นหนี้ที่ก่อเพื่อการบริโภคหรือเพื่อสร้างความสุขสบาย จึงไม่รวมหนี้เพื่อกู้ซื้อบ้าน หรือกู้เงินเพื่อการศึกษา


การควบคุมเพดานหนี้ให้ได้ผล อยู่ที่การรู้จักแยกประเภทหนี้ดี ได้แก่ หนี้ที่ก่อให้เกิดรายได้ในอนาคต กับหนี้ที่ไม่ดี ได้แก่ หนี้เพื่อการบริโภคหรือเพื่อสร้างความสุขสบาย และเมื่อรู้จักประเภทหนี้จะทำให้เกิดการยับยั้งชั่งใจก่อนก่อหนี้


โดยหนี้ที่ควรก่อเป็นอันดับต้นๆ ได้แก่ หนี้ที่สามารถก่อให้เกิดรายได้หรือเกิดประโยชน์ในอนาคต

1. หนี้เพื่อซื้อบ้าน

เป็นหนี้ที่สร้างความมั่นคงในระยะยาวให้กับชีวิตตัวเองและครอบครัว ผ่อนหมดเมื่อไหร่บ้านก็จะกลายเป็นทรัพย์สินของผู้กู้ทันที

2. หนี้เพื่อการศึกษา

เป็นหนี้เพื่อสร้างอนาคต เมื่อมีการศึกษาที่ดีย่อมเห็นช่องทางในการสร้างรายได้ หรือต่อยอดจากสิ่งที่มีได้มากขึ้น

3. หนี้เพื่อสร้างธุรกิจ

เป็นหนี้เพื่อสร้างรายได้ในอนาคต เช่น กู้ซื้อเครื่องจักรเพื่อทำธุรกิจ

เมื่อรู้ว่าควรก่อหนี้อะไรบ้าง ก็ต้องรู้ วิธีการบริหารจัดการหนี้ให้มีประสิทธิภาพ ได้แก่

1. เป็นหนี้ให้พอเหมาะสม

นั่นคือ รู้ว่าตัวเองมีรายได้เท่าไหร่และสามารถก่อหนี้ได้แค่ไหน โดยที่ไม่ลำบากตัวเองและไม่สร้างความเดือดร้อนให้กับคนรอบข้าง

2. อย่าเบี้ยวหนี้

เมื่อถึงเวลาจ่ายหนี้ก็ต้องจ่ายให้ครบตามจำนวนและตรงเวลา ถ้าทำได้จะมีประวัติในการก่อหนี้ที่ดี หากก่อหนี้ครั้งต่อไปก็จะได้รับการอนุมัติได้ไม่ยาก

3.ตรวจสอบสม่ำเสมอ

เมื่อก่อหนี้แล้วก็ควรตรวจสอบหนี้สินอย่างสม่ำเสมอว่ามีหนี้สินค้างชำระอยู่มากน้อยแค่ไหน ด้วยการจัดบันทึกทั้งรายชื่อเจ้าหนี้ จำนวนหนี้ อัตราดอกเบี้ย ยอดค้างชำระ วันจ่ายหนี้ รวมถึงเงื่อนไขต่างๆ

4 .แยกประเภทหนี้

ดูว่าหนี้ที่ก่อไปนั้นเป็นหนี้ดีหรือหนี้ที่ไม่ดี จากนั้นก็พยายามลดการเป็นหนี้ที่ไม่ดีลงให้เร็วที่สุด และเมื่อปลดหนี้ที่ไม่ดีหมดแล้วก็ไม่ควรกลับไปก่อหนี้ก้อนใหม่


ในปัจจุบันการก่อหนี้เป็นเรื่องง่าย ดังนั้น หากปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้จ่าย รู้จักแยกประเภทของหนี้ ที่สำคัญหากควบคุมเพดานหนี้ได้ดี บริหารหนี้เป็นระบบ จะช่วยให้การเป็นหนี้ไม่เดือดร้อนกับตัวเองและคนรอบข้าง