เรียนรู้ลงทุนฉบับลงทุนศาสตร์

ทุกการลงทุนล้วนมีความหมายกับชีวิต และสำหรับผู้ที่สนใจการลงทุน ชื่อของ “ลงทุนศาสตร์” สื่อออนไลน์ที่เผยแพร่คอนเทนท์การลงทุนที่น่าสนใจทางเว็บไซต์ Facebook  LINE Twitter Youtube IG รวมทั้ง Podcast เป็นที่รู้จักกันอย่างดี เฉพาะในส่วนเพจลงทุนศาสตร์ก็มีแฟนเพจติดตามกว่า 700,000 คน คุณเบส ภก.กิตติศักดิ์ คงคา แห่งลงทุนศาสตร์ นักลงทุนอิสระเป็นผู้เป็นเจ้าของคอนเทนท์ดีๆ มาพูดคุยถึงแรงบันดาลใจ เป้าหมาย วิธีการ และสิ่งที่ได้เรียนรู้จากการลงทุน

info

ก่อนจะมาเป็นลงทุนศาสตร์

คุณเบสเล่าถึงจุดเริ่มต้นที่มาสนใจการลงทุนว่า ตอนที่คุณเบสเรียนจบคุณแม่จะซื้อรถให้คันหนึ่งเหมือนกับตอนที่พี่ชายเรียนจบ แต่ตอนนั้นคุณเบสไม่อยากได้รถ คุณแม่เลยให้เป็นเงินก้อนมาจำนวนหนึ่งให้ไปซื้อของที่อยากได้ ซึ่งตอนแรกคุณเบสก็ฝากไว้เฉยๆ จากนั้นก็นำมาทำให้ลงทุนให้งอกเงย ด้วยการซื้อกองทุนรวม สลากออมสิน รวมถึงลงทุนหุ้น แล้วคุณเบสก็รู้ตัวว่าชอบลงทุนหุ้นมากที่สุด   ซึ่งจุดเปลี่ยนที่ทำให้มาสนใจเป็นนักลงทุนมาจากการที่สลากออมสินที่ซื้อถูกรางวัลได้ผลตอบแทน 20% ก็อยากจะลงทุนเพื่อให้ได้ผลตอบแทนมากขึ้น ซึ่งคุณเบสตระหนักว่าการลงทุนเป็นสิ่งที่ควบคุม คาดการณ์ได้มากกว่าอาศัยเรื่องโชคเรื่องดวง ประกอบกับที่บ้านเคยขายล๊อตเตอรี่ ก็รู้ว่าการอาศัยโชคถูกรางวัลเป็นเรื่องยาก จึงอยากให้เงินงอกเงยด้วยความสามารถของตัวเองมากกว่า สิ่งนี้เป็นจุดเริ่มต้นให้สนใจศึกษาการลงทุน และเพิ่มสัดส่วนการลงทุนในหุ้นเรื่อยๆ จนมาเป็น 100%

ส่วนคำถามที่หลายๆ คนสงสัยว่าเราเหมาะกับการลงทุนแบบไหน? คุณเบสแนะนำให้ทำแบบสอบถามในเว็บไซต์ตลาดหลักทรัพย์ ที่จะวัดว่าเรารับความเสี่ยงได้กี่เปอร์เซ็นต์และควรจะลงทุนแบบไหน อย่างไรก็ดี ในทางปฏิบัติ คุณเบสเห็นว่าการลงทุนไม่มีสูตรตายตัว ถ้าเราลองลงทุนทุกอย่างแล้วการลงทุนแบบไหนที่เรามีความสุขที่สุด มีความสบายใจไม่ต้องคอยกังวลเพราะใจรับความเสี่ยงได้ แสดงว่าเราเหมาะกับการลงทุนแบบนั้น สำหรับการลงทุนของคุณเบส จะมีส่วนธุรกิจของที่บ้านที่เป็นโรงงานยา และธุรกิจส่วนตัวที่เป็นการทำเพจและโรงพิมพ์เป็นส่วนที่สร้างกระแสเงินสด นอกนั้นจะเป็นการลงทุนอยู่ในตลาดหุ้น 100%  มีกองทุนรวมน้อยมาก มีแค่กองทุนที่ใช้ลดหย่อนภาษี และกองทุนรวมหุ้นอินเดีย ที่ประเทศอินเดียไม่อนุญาตให้ลงทุนหุ้นรายตัวได้

เพราะการลงทุนคือ Passion

คุณเบสเปรียบการทำงานศึกษาเรื่องหุ้น  เช่น อ่านงบการเงิน เหมือนเป็นงานสืบสวนสอบสวนในการหาสิ่งที่คนอื่นยังมองไม่เห็น สำหรับตัวคุณเบสแล้วการทำงานกับหุ้นเป็น passion ในชีวิต ไม่ใช่เรื่องของการอยากหาเงิน แต่ยังเป็นความสนุก ความตื่นเต้นที่จะได้เข้าใจรู้จักหุ้นแต่ละตัวและเป็นเจ้าของมัน ซึ่งการที่ทำอะไรด้วยความชอบ สิ่งนั้นจะไม่เรียกร้องพลังงานจากชีวิตของเราเยอะ ก็จะทำให้เราไม่เบื่อและไม่เหนื่อยที่จะทำมัน แต่จะทำด้วยความสนุก ความอยากรู้ ยิ่งอยากค้นคว้า อยากค้นหา อย่างตัวคุณเบสเองเคยอ่านค้นคว้าเรื่องหุ้นวันละ 8 ชั่วโมง แม้จะเป็นหุ้นที่ซื้อไม่ได้ก็ยังอยากศึกษาข้อมูล


สิ่งที่ทำให้คุณเบสรู้สึกตื่นเต้นเวลาลงทุนได้แก่  1) การเติบโต จะรู้สึกตื่นเต้นเมื่อเห็นหุ้นที่มีโอกาสการเติบโตมหาศาล เช่น หุ้นตัวหนึ่งในตลาดหุ้นฟิลิปปินส์ที่คุณเบสเข้าไปลงทุน มีมูลค่าตลาด 2 หมื่นล้านบาท ซึ่งถ้าอยู่ในประเทศไทยหุ้นตัวนี้น่าจะมีมูลค่าตลาดกว่า 2-3 แสนล้านบาท คุณเบสเชื่อว่าในอนาคตตลาดฟิลิปปินส์จะเติบโตแซงประเทศไทยและหุ้นตัวนั้นมีโอกาสเติบโตอีกเป็น 10 เท่า 2) หุ้นมูลค่า/ราคาถูก  ในช่วงโควิด-19 ที่ราคาหุ้นปรับตัวลง เป็นช่วงเวลาที่คุณเบสสนุกและตื่นเต้นกับการลงทุนมาก คุณเบสเปรียบการลงทุนช่วงโควิด-19 ว่าเหมือนคำพูดของวอร์เรน บัฟเฟ็ตต์ ที่กล่าวถึงการลงทุนปี 1987 ว่าตัวบัฟเฟ็ตต์รู้สึกตื่นเต้นเหมือนเป็นชายหนุ่มกลัดมันที่อยู่ในฮาเร็ม คุณเบสเองก็รู้สึกอย่างนั้น คือเห็นหุ้นราคาถูกแล้วจะตื่นเต้นมาก ซึ่งช่วงโควิด-19 เป็นเวลาสร้างผลตอบแทนค่อนข้างดี

หุ้นบริษัทที่ดีน่าลงทุน มีเทคนิคการดูอย่างไร

ในเรื่องเทคนิคการเลือกหุ้น คุณเบสให้ข้อคิดว่า การดูหุ้น อย่าตัดสินจากชุดความคิดที่เชื่อกันมา เช่น หุ้นค้าปลีกต้องดี หุ้นโรงพยาบาลต้องดี หุ้นรับเหมาไม่ดี เป็นต้น เหมือนกับคำกล่าวที่ว่าอย่าตัดสินหนังสือที่หน้าปก จากประสบการณ์ศึกษาหุ้นมากว่า 2 พันตัวทั้งในและต่างประเทศ คุณเบสจะไม่แปะป้ายตีตราหุ้นตัวไหนก่อน แต่จะศึกษาทำความเข้าใจธุรกิจ วิเคราะห์งบการเงิน ดูราคาก่อน เพราะเมื่อศึกษาไปมากๆ ก็จะรู้ว่าควรให้ความสนใจกับอนาคต มากกว่าอดีตที่ผ่านมา เพราะอนาคตเปลี่ยนแปลงได้เสมอ หลายครั้งที่เจอหุ้นเหมือนจะดีแต่ก็ไม่ดี หุ้นที่เหมือนไม่ดีแต่กลับดี ดังนั้นอย่าตัดสินใจแปะป้ายตีตราหุ้นไปก่อนโดยไม่ได้ศึกษาให้ละเอียด แต่ต้องใช้ข้อมูลตัดสินใจจึงดีที่สุด โดยพิจารณาชั่งน้ำหนักจาก 3 ปัจจัย ได้แก่

1.คุณภาพ : ความสามารถในการแข่งขันที่ยั่งยืน ทำกำไร เป็นผู้นำตลาดมั้ย ดูงบการเงิน โครงสร้างบริษัท พื้นฐานความแข็งแกร่งของบริษัท

2.การเติบโต : มองภาพอนาคต แนวโน้มการเติบโต อ่านบทวิเคราะห์ สัมภาษณ์ผู้บริหาร แผนการบริษัทในรายงานประจำปี

3.ราคา (มูลค่าพื้นฐาน) : ประเมินมูลค่าหุ้นว่าถูกหรือแพง ถ้าเป็นหุ้นคุณภาพดี เติบโตดี ราคาถูกซื้อเลย แต่ถ้าเป็นหุ้นคุณภาพดี เติบโตดี ราคาแพง  ก็ให้รอจังหวะก่อน  ในส่วนหุ้นคุณภาพดี เติบโตไม่ดี จัดเป็นหุ้น Cash Cow ให้ซื้อลงทุนเน้นกระแสเงินสด คือซื้อถูก ขายแพง สำหรับหุ้นคุณภาพไม่ดี แต่การเติบโตดี ก็ต้องไปเสี่ยงในอนาคต ว่าเมื่อเติบโตแล้วจะมีคุณภาพดี เป็นผู้นำตลาดได้หรือไม่


ในส่วนหุ้นต่างประเทศ คุณเบสก็วิเคราะห์สถานการณ์ของประเทศต่างๆ และเน้นการลงทุนระยะยาว เช่นตลาดประเทศเกิดใหม่ (Emerging Marketing) แม้จะมีหุ้นคุณภาพดีที่ราคายังถูกมาก แต่นักลงทุนส่วนใหญ่จะลงทุนระยะสั้น เงินจากกองทุนต่างๆ จะไม่เข้าซื้อเพราะตลาดยังมีขนาดเล็ก ซึ่งถ้าเราสามารถถือหุ้นระยะยาวได้ ก็เป็นการชดเชยความเสี่ยงจากความผันผวนในตลาดเหล่านั้น

การลงทุนไม่ใช่แค่เรื่องเงิน แต่เป็นเรื่องของจิตใจ

ในความคิดเห็นของคุณเบส สิ่งสำคัญในการลงทุนคือความรู้ เพราะถ้าเรามีความรู้เรื่องการลงทุนมากพอ ใจเราจะนิ่ง ไม่ค่อยหวั่นไหวไปกับสภาวะตลาด ทั้งนี้ หุ้นทุกตัวควรประเมินมูลค่าพื้นฐานได้ ซึ่งเราต้องรู้ว่าหุ้นของเราคือเราถือแบงก์อะไรอยู่ เช่นถือแบงก์ร้อย แล้วเราจะรู้ว่าเมื่ออยู่ท่ามกลางภาวะตลาดขณะนั้น หุ้นที่เราถืออยู่ถูกหรือแพง แล้วจะทำอย่างไรต่อไป โดยคุณเบสให้ความสำคัญกับการหาความรู้มาก เพราะไม่อย่างนั้นการลงทุนจะเป็นเรื่องเครียดมาก เนื่องจากไม่รู้ว่าหุ้นในพอร์ตถูกหรือแพง แต่ถ้ามีความรู้ ใจเราจะนิ่ง เพราะเข้าใจว่ากำลังทำอะไรอยู่


แล้วบทวิเคราะห์ช่วยได้หรือไม่? คุณเบสให้ความสำคัญกับการพิจารณาข้อเท็จจริงที่นำเสนอมาในบทวิเคราะห์ต่างๆ แต่สำหรับเรื่องความคิดเห็นว่าต้องทำอย่างไรต่อ เป็นสิ่งที่ต้องคิดเอง  กรณีที่ถ้าไม่สามารถวิเคราะห์ตัดสินใจได้ การลงทุนในกองทุนรวมเป็นทางออกที่ดีที่สุด

หลักกระจายความเสี่ยงในชีวิต

แม้จะประสบความสำเร็จในการลงทุน แต่คุณเบสก็มองว่าชีวิตมีอะไรมากกว่าการลงทุน ซึ่งการกระจายความเสี่ยงในชีวิตก็สำคัญไม่แพ้การกระจายความเสี่ยงในพอร์ตหุ้น นักลงทุนควรแบ่งเวลาไปทำอย่างอื่น มีความสุขด้านอื่นๆ ด้วย อย่าไปทุ่มเทจิตใจกับการลงทุนอย่างเดียว เพราะในเวลาที่ตลาดหุ้นลง ชีวิตก็จะพังได้ การที่เรามีความสุขกับชีวิตด้านอื่นๆ เมื่อหุ้นลงจะได้มีชีวิตด้านอื่นมาช่วยฟื้นฟูเยียวยาจิตใจเรา คุณเบสให้ข้อสังเกตว่า สิ่งที่นักลงทุนเก่งๆ มีคือทักษะในการบริหารจิตใจ ที่กล้าซื้อในช่วงที่คนอื่นไม่ซื้อ และกล้าขายในช่วงที่คนอื่นไม่ขาย ซึ่งถ้าไม่มีการกระจายความเสี่ยงในชีวิตเลย เมื่อหุ้นตกชีวิตจะเสียศูนย์ เพราะไม่มีใครชนะตลาดหุ้นได้ตลอดเวลา


ในส่วนตัวคุณเบสเอง ก็กระจายความเสี่ยง มีความสุขกับชีวิต 5 ด้าน ได้แก่ 1) การเป็นนักลงทุน 2) ทำงานธุรกิจครอบครัว ที่เป็นโรงงานผลิตยา  3) มีความสุขกับการเล่าเรื่อง ผ่านการทำเพจ/คอนเทนท์ในสื่อออนไลน์ “ลงทุนศาสตร์” 4) การเป็นนักเขียนเรื่องสั้น ซึ่งเป็นความฝันตั้งแต่วัยเด็ก 5) ใช้เวลาส่วนตัว ออกกำลังกาย พบเพื่อน พักผ่อน เป็นต้น

การลงทุนเปลี่ยนและให้อะไรกับชีวิต?

สำหรับคำถามดังกล่าว คำตอบของคุณเบสก็คือการลงทุนได้เปลี่ยนเงินก้อนแรกจากที่แม่ให้เขาเป็นอิสรภาพทางการเงิน  โดยการลงทุนในตลาดหุ้น 5 ปี ที่ได้ผลตอบแทน 30 เท่า ทำให้คุณเบสมีอิสรภาพทางการเงิน และในวันที่ไม่ถูกจำกัดกรอบว่าต้องทำงานเพื่อเงินอีกต่อไปแล้ว ทำให้เขามีอิสระในการทำตามความชอบได้อย่างเต็มที่ ซึ่งสิ่งนี้คือความสุขในชีวิต


ขณะเดียวกัน การลงทุนก็ทำให้คุณเบสรู้ว่า แม้เงินจะสำคัญ แต่ก็ไม่ใช่ทุกอย่างของชีวิต  ครั้งหนึ่งที่เขาเคยพลาดโอกาสทำกำไร 30 ล้านบาท ถ้าเขาไม่สามารถหลุดจากความคิดตรงนั้นได้ ชีวิตก็คงจะแย่ลง และเมื่อมีเงินถึงจุดนึง คุณเบสก็ตระหนักว่าแม้มีเงินมากขนาดไหน ชีวิตเขาก็ไม่ได้เปลี่ยนไป ยังคงอยู่บ้านหลังเดิม ขับรถคันเดิม ใช้ชีวิตประจำวันเหมือนเดิม จริงๆ แล้ว ความสุขของชีวิตขึ้นอยู่กับทัศนคติเป็นหลัก


นอกจากนี้ สำหรับคุณเบส การลงทุนไม่ใช่การลงทุนทางการเงิน แต่เป็นการลงทุนทางจิตใจที่จะมุ่งมั่นทุ่มเททำสิ่งที่ใจรัก ถ้ายังไม่รู้ว่าชอบอะไร หนทางเดียวที่จะรู้ได้คือการทดลองลงมือทำจะได้รู้ว่าเราชอบสิ่งนั้นหรือไม่ ถ้าลองไป 10 อย่างแล้วยังไม่รู้ ก็ลองอีกเป็น 20 อย่าง การลองทำหลายๆ อย่างเป็นโอกาสให้เราค้นหาความชอบของตัวเอง นอกจากนั้น การอ่านหนังสือ ก็ช่วยให้เราได้ประสบการณ์ใหม่ๆ เปรียบเสมือนการสวมชีวิตของคนอื่น และช่วยให้เราเจอคำตอบได้เร็วขึ้น

การลงทุนในช่วงโควิด-19

คุณเบสมองการลงทุนหุ้นในสถานการณ์โควิด-19 เป็น 2 ประเภท ได้แก่ กลุ่มธุรกิจคาดการณ์ไม่ได้ คือภาคท่องเที่ยว ซึ่งหุ้นกลุ่มนี้ไม่พร้อมจะลงทุน เพราะไม่มีความแน่นอนว่าจะคิดค้นวัคซีนสำเร็จเมื่อไร เปิดประเทศรับนักท่องเที่ยวได้เมื่อไร รวมถึงพฤติกรรมคนที่เมื่อไม่ได้ท่องเที่ยวนานๆ ว่าจะกลับมาท่องเที่ยวเหมือนเดิมหรือไม่


อีกกลุ่มหนึ่งเป็นหุ้นที่คาดการณ์ได้ คือ หุ้นพึ่งพาบริโภคในประเทศ ได้แก่  หุ้นค้าปลีก อุปโภคบริโภค ขนส่ง โรงพยาบาล ร้านอาหาร ซึ่งสามารถคาดการณ์ได้ว่าภาคบริโภคเริ่มฟื้นตัว แม้ตอนนี้การใช้จ่ายยังไม่มากเนื่องจากสภาพเศรษฐกิจ แต่ภายใน 2-3 ปีนี้จะกลับมาแน่ ดังนั้น การลงทุนอย่าดูแค่ปีนี้ เพราะคาดการณ์ลำบาก แต่ให้ดูว่าหุ้นธุรกิจอะไรจะรอดผ่าน 2-3 ปีนี้ โดยให้เลือกลงทุนหุ้นธุรกิจที่มั่นคงเท่านั้น เพราะสภาพเศรษฐกิจปัจจุบันยังน่ากังวล จากปริมาณการบริโภคลดลง ซึ่งจะเห็นชัดตั้งแต่ไตรมาส 2  ธุรกิจการท่องเที่ยวก็ยังไม่กลับมา ภาคส่งออกชะลอตัวลงจากเศรษฐกิจโลก ซึ่งการใช้น้ำมันลดลงชี้ให้เห็นดีมานด์ต่ำและเติบโตไม่ดีนัก ในส่วนภาคธนาคารก็มีความกังวลเรื่องการพักชำระหนี้  ดังนั้นจึงแนะนำให้อยู่กับความปลอดภัยมั่นคง โดยในช่วงวิกฤต หุ้นลงทุกตัว แต่เมื่อผ่านวิกฤต หุ้นไม่ได้ขึ้นทุกตัว ดังนั้นในช่วงตลาดลง ให้เลือกหุ้นที่ดีที่สุด ถูกที่สุด อาจไม่ใช่หุ้นที่ราคาลงมาเยอะที่สุด แต่เป็นหุ้นที่เราคิดว่าจะรอดจากวิกฤตได้ แล้วเราที่ถือแล้วเราสบายใจ นอนหลับได้ กล่าวคือให้ความสำคัญกับการอยู่รอดเป็นหลัก

ฝากให้นักลงทุนมือใหม่

สิ่งที่คุณเบสอยากจะฝากถึงนักลงทุนมือใหม่ว่า 3 สิ่งที่ต้องมีหากอยากประสบความสำเร็จ คือ 1) เวลาที่จะใช้ในการลงทุน  2) ทัศนคติ ที่ชอบ สนใจลงทุน สนุกกับการลงทุน 3) ความรู้ เติมความรู้ให้เยอะที่สุด ข้อนี้สำคัญมากๆ คือต้องศึกษาหาความรู้ให้เยอะที่สุด เวลาที่เข้าตลาดหุ้น อย่าคิดแต่หาเงิน แต่ให้เน้นหาความรู้ ที่จะเป็นอาวุธคู่กายนักลงทุนทุกคน เงินทุนไม่ได้สำคัญที่สุด มีได้ก็หมดได้ ทั้งนี้ ตลาดหุ้นก็เหมือนท้องฟ้า สิ่งสำคัญคือการที่เราได้เตรียมร่ม มุงหลังคาหรือยัง ถ้าเตรียมแล้วก็จะอยู่ได้ เป็นนักลงทุนอย่ากลัวฝน เพราะผลตอบแทนก็คือฝน เป็นโอกาสที่มาพร้อมวิกฤต


คุณเบสสรุปสิ่งที่สำคัญในการเป็นนักลงทุนคือการหาความหมายของชีวิตให้เจอ แล้วทุ่มเทกับสิ่งนั้น กระจายความเสี่ยงในการใช้ชีวิต และต้องหมั่นหาความรู้เพิ่มเติม ติดตามชม SCB TV “Pay It Forward” ตอนที่ 1 : คนที่แท้ก็ต้องดูแลตัวเอง โดยภก.กิตติศักดิ์ คงคา/ลงทุนศาสตร์ - ที่นี่ -