เมื่อมะเร็ง... เปลี่ยนชีวิต

มะเร็งโรคร้ายที่ไม่ว่าใครก็แขยง ไม่มีใครอยากเป็นโรคนี้ ยมทูตที่สามารถคร่าชีวิตคนมากมายอย่างรวดเร็วและไม่มีเวลาให้ตั้งตัว หลายชีวิตที่ดิฉันรู้จักจากไปเพราะเนื้อร้ายที่กลายพันธุ์นี้ แล้วเวลาของดิฉันก็มาถึง ทั้งๆ ที่ไม่เคยคิดจะเรียกร้องหามัน ใช่แล้วค่ะ... คุณหมอวินิจฉัยว่าดิฉันเป็น “มะเร็ง” จะทำอย่างไรดี แม้จะเคยศึกษาหาข้อมูลมาบ้าง พอเจอกับตัวเองจังๆ ทุกอย่างรอบๆ ตัวก็ดำมืดไปหมด

cancer-life-changing-1

ทันทีที่รู้ตัวว่าเป็นมะเร็ง อย่างแรกเลยที่ต้องทำให้ได้คือ ตั้งสติให้มั่น อย่าเสียใจนาน รีบเข้ารับการรักษาแต่เนิ่นๆ ปรึกษาแพทย์ที่เชี่ยวชาญเกี่ยวกับโรคมะเร็งในสาขาที่เราป่วยให้เร็วที่สุด ในกรณีที่ไม่มั่นใจอาจลองปรึกษาแพทย์จากหลายโรงพยาบาล หรือที่เรียกว่าการหา Second Opinion Doctor นั่นเอง ในตอนแรกดิฉันตั้งใจจะเข้ารับการรักษากับโรงพยาบาลของรัฐ เพราะเชื่อว่าค่าใช้จ่ายในการรักษาจะถูกกว่าโรงพยาบาลเอกชน แต่เมื่อพิจารณาเรื่องเวลาในการรอคอยแล้ว โรงพยาบาลรัฐต้องใช้เวลาในการรอรับการรักษานานกว่ามาก เนื่องจากมีคนไข้ที่อาจจะอาการหนักกว่ารอรับการรักษาอยู่จำนวนมาก ซึ่งก้อนมะเร็งสุดที่รักของดิฉันคงไม่ชะลอการเติบโตเพื่อคอยพบคุณหมอด้วยเป็นแน่ ทำให้ดิฉันต้องเปลี่ยนใจไปปรึกษาแพทย์ที่โรงพยาบาลเอกชนที่ดิฉันเคยไปรักษาโรคอื่นๆ แทน

ทำไมดิฉันถึงกล้าเข้าไปรักษาตัวที่โรงพยาบาลเอกชน หลายคนมักตั้งคำถามว่า ไม่กลัวค่าใช้จ่ายในการรักษาหรือ แน่ใจว่ามีเงินเพียงพอที่จะจ่ายค่ารักษาพยาบาลนะ คำตอบคือ กลัวมาก ดิฉันไม่อาจทราบได้ว่า กว่าที่มะเร็งร้ายจะหายไปจากตัวดิฉัน เงินเก็บที่มีอยู่จะสามารถหล่อเลี้ยงชีวิตดิฉันไปได้หรือไม่ อาจจะต้องไปหาเงินกู้ฉุกเฉิน เพื่อมาช่วยเพิ่มทางออกให้กับชีวิต ยิ่งคิดก็ยิ่งเครียด ไหนจะต้องอยู่กับมะเร็งให้ได้ ไหนจะต้องหาเงินค่ารักษา คิดมากไปมะเร็งคงจะโตวันโตคืน นับเป็นความโชคดีของดิฉันที่ยังพอมีอยู่บ้าง เมื่อตอนที่เห็นคนรู้จักเป็นมะเร็ง ก็ไหวตัวทันคิดว่าดิฉันอาจเป็นเหยื่อของโรคนี้คนต่อไป จึงได้ตัดสินใจทำ ประกันโรคร้ายแรง เอาไว้ คิดว่าในอนาคตอาจจะได้ใช้ประโยชน์จากกรมธรรม์ฉบับนี้ แล้วก็เป็นจริงตามคาด ก็หวังเพียงว่าเงินที่ได้จ่ายไปก่อนล่วงหน้า จะช่วยรักษาชีวิตของดิฉันให้ยืนยาวขึ้นอีกสักหน่อย

อีกเหตุผลที่ทำให้ดิฉันตัดสินใจทำประกันไว้ก็คือ สมัยเริ่มเข้าทำงานใหม่ๆ ขณะเดินทางไปทำงาน ดิฉันประสบอุบัติเหตุ ในตอนนั้นดิฉันไม่เคยคิดจะทำประกันอะไรเลย เพราะคิดว่าบริษัทก็มีสวัสดิการประกันกลุ่มให้แล้วคงจะเพียงพอ แต่พอเจอเข้ากับตัวเองจริงๆ ถึงรู้ว่าค่ารักษาพยาบาลไม่ว่าจะเป็นโรคอะไรก็สูงทั้งนั้น ซึ่งในตอนนั้นค่ารักษาพยาบาลส่วนที่เกินจากความคุ้มครองของประกันกลุ่มที่บริษัทซื้อให้ ทั้งหมดก็ตกเป็นภาระของคุณพ่อคุณแม่ ทำให้ดิฉันรู้สึกสงสารท่านมาก เป็นเหตุให้หันมาสนใจการทำประกันมากขึ้น ทั้งประกันชีวิต ประกันอุบัติเหตุ และประกันสุขภาพที่คุ้มครองโรคร้ายต่างๆ เรียกว่าศึกษาจนเข้าใจดีเลยทีเดียว เอาจริงๆ เรื่องแบบนี้หากไม่สัมผัสประสบการณ์ตรงก็ยากที่จะเข้าใจ แม้จะซื้อประกันไว้หลายเล่ม แต่เชื่อหรือไม่ว่า ดิฉันไม่เคยคิดที่จะใช้บริการของบริษัทประกันเหล่านี้เลย เพราะถ้าต้องใช้เมื่อไหร่ แสดงว่าชีวิตของดิฉันได้เจอปัญหาเข้าให้แล้ว แต่สุดท้ายก็ไม่รอด ถึงเวลาที่ต้องเอาตัวช่วยออกมาใช้ เมื่อมะเร็งร้ายโผล่เข้ามาในชีวิต

หลังจากที่เข้ารับการผ่าตัดเอาก้อนมะเร็งออกไปเรียบร้อยแล้ว ดิฉันรู้สึกว่า การเลือกรับการรักษาในโรงพยาบาลเอกชนคราวนี้ เป็นการตัดสินใจที่ถูกต้อง และรวดเร็วทันท่วงที เนื่องจากคุณหมอวินิจฉัยไว้ว่า มะเร็งที่ดิฉันเป็นนั้น อยู่ในขั้นที่ 1 กว่าๆ ใกล้จะข้ามไปขั้นที่ 2 แล้ว เพราะก้อนมะเร็งได้ฝังตัวลึกลงไปในผนังลำไส้เล็กน้อยแล้ว โชคดีที่ยังสามารถรักษาด้วยการผ่าตัดได้ทัน โดยปกตินั้นถ้าเป็นมะเร็งขั้นที่ 1 เมื่อได้รับการผ่าตัดแล้วก็ถือว่าจบการรักษา แต่เมื่อเป็นมะเร็งขั้นที่ 1 กว่าๆ อย่างของดิฉัน จำเป็นต้องเฝ้าติดตามและเช็คสุขภาพต่อเนื่องไปอีก 5 ปี

ในความคิดของดิฉัน ช่วงเวลาที่ต้องเฝ้าระวังนี้ เปรียบเสมือนระเบิดเวลาที่วางไว้เพื่อรอใครสักคนมาพบ ซึ่งก็พร้อมที่จะระเบิดได้ทุกเมื่อ ผู้ป่วยควรจะปฏิบัติตัวอย่างไร ใช้ชีวิตแบบไหนถึงจะได้ห่างไกลจากคำว่า “ มะเร็ง ” โรคร้ายที่ไม่รู้สาเหตุที่แน่ชัดว่าทำไมถึงเป็นโรคนี้ได้ แนวทางปฏิบัติเพื่อดูแลสุขภาพของดิฉัน คือ

1.      รับประทานอาหารให้ครบทั้ง 5 หมู่ โดยเลือกรับประทานโปรตีนจากถั่วเมล็ดแห้งและนมถั่วต่างๆ สำหรับเนื้อสัตว์ก็จะเน้นไปที่เนื้อปลาเป็นหลัก ไข่ก็เน้นไข่ขาว และที่สำคัญที่สุดคือผักผลไม้หลากหลายตามฤดูกาล โดยจะต้องล้างน้ำให้สะอาดและแช่เบคกิ้งโซดาเพื่อขจัดสารพิษที่ตกค้างด้วย

2.      ออกกำลังกายให้พอเหมาะ โดยออกกำลังกายอย่างน้อยสัปดาห์ละ 3 - 4 ครั้ง นานครั้งละประมาณ 45 นาที ถึง 1 ชั่วโมง จากเดิมที่ไม่เคยคิดจะขยับตัวเพราะกลัวเหนื่อย กลัวร้อนและขี้เกียจก็ต้องยอมให้มีเหงื่อกันบ้างแล้ว

3.      เข้ารับการตรวจสุขภาพเป็นประจำตามที่แพทย์นัด อย่าเพิ่งเบื่อการไปโรงพยาบาล ทั้งนี้คุณหมอจำเป็นต้องตรวจร่างกายของผู้ป่วยโดยละเอียดเพื่อให้แน่ใจว่า เนื้อร้ายจะไม่กลับมาอีก

4.      พยายามสูดลมหายใจลึกๆ อยู่กับอากาศที่บริสุทธิ์ แม้ว่าในปัจจุบันจะหาได้น้อยเพราะมีแต่ฝุ่นควัน PM2.5 ตัวช่วยที่ดีคือการหาต้นไม้ฟอกอากาศมาปลูกไว้ที่บ้านเยอะๆ เพื่อเพิ่มปริมาณออกซิเจน อาจหางานอดิเรกที่ชื่นชอบมาทำควบคู่ไปด้วยขณะที่อยู่ท่ามกลางต้นไม้ก็จะทำให้อยู่ได้นานโดยไม่เบื่อและเป็นการผ่อนคลายที่ดี

5.      ขับถ่ายทุกวันให้เป็นเวลา จากที่ไม่เคยใส่ใจเรื่องนี้มาก่อน ถ่ายบ้าง ไม่ถ่ายบ้าง จนทำให้เป็นมะเร็ง การขับถ่ายที่เป็นเวลา จะช่วยลดปัญหาการท้องผูก ทำให้ของเสียไม่หมักหมมในร่างกายนานจนเกินไป

6.      พักผ่อนให้เพียงพอ ทำจิตใจให้สบาย ไม่เครียด ไม่วิตกกังวล คิดในแง่บวก หาเวลาไปวัดฟังธรรมบ้าง เมื่อจิตใจสงบ ก็จะไม่ฟุ้งซ่าน ไม่กลัวสิ่งที่เกิดขึ้น เพราะมีสติรู้คิดว่ากำลังเผชิญกับอะไร สร้างกำลังใจให้ตัวเองผ่านพ้นเหตุการณ์ร้ายๆ ไปได้

โรคมะเร็งในปัจจุบัน แม้จะยังเป็นโรคร้ายที่น่ากลัว แต่ด้วยความสามารถของบุคลากรทางการแพทย์รวมกับเทคโนโลยีที่พัฒนาก้าวหน้าไปไกล ทำให้ดิฉันมั่นใจว่า สามารถรักษาให้หายได้ บางครั้งคนที่ไม่ได้เป็นโรคนี้ อาจจะเสียชีวิตลงด้วยโรคภัยไข้เจ็บอื่นๆ หรือเกิดอุบัติเหตุ จนต้องจากไปก่อนก็ได้

ทุกคน ไม่ใช่เฉพาะผู้ที่ป่วยเป็นโรคมะเร็งเท่านั้น ควรหันกลับมาดูแลสุขภาพร่างกายและจิตใจของตนเอง และใช้ชีวิตอย่างไม่ประมาท คำพูดที่ว่า “ไม่เกิดขึ้นกับตัวเองก็ไม่รู้หรอกว่ามันสำคัญแค่ไหน” ดิฉันเลือกซื้อประกันสุขภาพคุ้มครองโรคร้ายแรงไว้ ทำให้สามารถเข้ารับการรักษาได้อย่างรวดเร็ว และไม่ต้องกังวลเรื่องค่าใช้จ่ายในการรักษาเพราะมีเงินประกันมาช่วยแบ่งเบา ไม่ต้องลำบากหาเงินก้อนมาจ่ายให้ยุ่งยาก ทำให้มีโอกาสได้กลับมามีชีวิตใหม่ที่สนใจดูแลรักษาสุขภาพของตนเองอย่างเต็มที่ได้อีกครั้ง เรียกได้ว่า มะเร็งเปลี่ยนชีวิตจริงๆ

หากคุณสนใจจะมองหาประกันโรคร้ายที่ช่วยสร้างความสบายใจในยามที่จำเป็นต้องใช้เงินในการรักษา ลองพิจารณา ประกันเคลมคุ้มกลุ่มโรคร้าย (SCB Multi Care Multi Claims) แบบดิฉันดู อาจจะเป็นคำตอบที่ดีสำหรับคุณ ซึ่งหากโชคดีไม่เจอโรคร้าย ก็ยังได้เบี้ยคืนทุกบาทที่จ่ายไปไม่ถือเป็นการทิ้งเงินให้สูญเปล่า เพราะชีวิตเป็นของคุณ คุณเลือกเองได้ ว่าจะเสี่ยงกับโรคร้ายตัวคนเดียว แบกรับค่าใช้จ่ายทั้งหมดไว้เอง หรือจะหาประกันดีๆ มาช่วยลดความเสี่ยงเรื่องค่าใช้จ่ายให้คุณและคนที่คุณรัก