แบกเป้พาแม่เที่ยวสวิส

บทความโดย   นิภาพันธ์ พูนเสถียรทรัพย์ CFP®   นักวางแผนการเงินอิสระ นักเขียนและวิทยากร

เมื่อพูดถึง ‘สวิส’ หรือประเทศสวิสเซอร์แลนด์ น่าจะเป็นประเทศในฝันของใครหลายๆ คน รวมไปถึงเป็นประเทศในฝันของผู้เขียนด้วยเช่นกัน นอกจากที่เป็นประเทศในฝันแล้ว เหตุผลที่ทำให้เลือกไปเที่ยวที่สวิสเพราะ สวิสเป็นประเทศที่ไม่ใหญ่มาก มีความเป็นกลาง น่าจะมีความปลอดภัยสูง ระบบรถไฟดีเยี่ยมทำให้เที่ยวไม่ยาก ที่สำคัญมีคนไทยที่รู้จักอยู่ที่นั่นด้วย การมีคนไทยอาศัยอยู่ในประเทศที่เดินทางไปเที่ยว มันทำให้เกิดความอุ่นใจว่า อย่างน้อยหากมีอะไรเกิดขึ้น เราจะได้รู้ว่าต้องติดต่อใคร เนื่องจากไปกัน 2 คนแม่ลูก และแม่ไม่รู้จักภาษาอังกฤษเลย เมื่อเลือกที่จะเดินทางกันเองสองคนแม่ลูก ก็ต้องคำนึงถึงความปลอดภัยมาเป็นอันดับหนึ่ง


เราตัดสินใจไปสวิสทั้งหมด 15 วัน เพราะ ‘สวิสพาส’ เลยค่ะ สวิสพาสเป็นตั๋วที่ใช้สำหรับโดยสารรถไฟของเครือข่ายการรถไฟแห่งชาติสวิส (SBB CFF FFS) รถโพสต์บัส (Post Bus) ที่วิ่งให้บริการไปยังเมืองต่างๆ ได้ทั่วประเทศโดยไม่จำกัดจำนวนครั้ง นอกจากนี้ยังใช้ได้กับรถเมล์ รถราง เรือล่องทะเลสาบหรือระบบขนส่งมวลชนในเมืองท่องเที่ยวหลักๆ ได้ นอกจากนี้เรายังสามารถใช้สวิสพาสเข้าชมพิพิธภัณฑ์ที่ตั้งอยู่ตามเมืองต่างๆ ได้อีกกว่า 400 แห่ง โดยไม่ต้องจ่ายสตางค์เพิ่ม (สอบถามก่อนเข้าชม) และหากจะเดินทางขึ้นสู่ยอดเขาต่างๆ ก็สามารถใช้เป็นส่วนลดในการซื้อตั๋วรถไฟ กระเช้าไฟฟ้าหรือเคเบิลคาร์ในเส้นทางต่างๆ ก็จะได้รับส่วนลด 25 – 50% ทำให้ประหยัดเงินค่าเดินทางไปได้มากจริงๆ


หากต้องการเที่ยวสวิสด้วยตัวเอง สวิสพาสเป็น ‘a-must’ ที่ต้องมีเลยค่ะ โดยมีแบบ 4 วัน 8 วัน 15 วัน 22 วัน และ 1 เดือน ผู้เขียนจึงเลือกแบบ 15 วัน เพราะน่าจะเป็นจำนวนวันที่กำลังพอดี ซื้อจากเอเจนซี่ทัวร์ที่เมืองไทยน่าจะถูกกว่า (เช็กโปรโมชั่นด้วย)


ส่วนตั๋วเครื่องบินตอนแรกตั้งใจจะแลกไมล์ไป แต่โชคดีที่การบินไทยมีตั๋วโปรโมชั่น เลยซื้อตั๋วการบินไทยไป โดยปกติสายการบินของประเทศตะวันออกกลางมักมีตั๋วโปรโมชั่นไปยุโรปอยู่ตลอด และราคาก็จะถูกกว่าการบินไทย แต่เราต้องไปเปลี่ยนเครื่องที่ตะวันออกกลางก่อน ไม่ได้บินตรงเหมือนการบินไทย เนื่องจากพาคุณแม่ไป การบินตรงน่าจะดีกว่า เลยยอมจ่ายค่าตั๋วแพงขึ้นอีกนิด เพื่อแลกกับความสะดวกสบาย


หากต้องการเที่ยวสวิสหรือประเทศอื่นๆ ในยุโรป ต้องขอวีซ่าเชงเก้น ซึ่งต้องขอวีซ่าให้เรียบร้อยก่อนออกเดินทาง หากไปเที่ยวหลายประเทศในยุโรป ให้ขอวีซ่าเชงเกนของประเทศที่เราอยู่นานที่สุด สำหรับในทริปนี้ผู้เขียนเที่ยวสวิสเพียงประเทศเดียว จึงไปขอวีซ่าเชงเกนจากสถานฑูตสวิสเซอร์แลนด์ ซึ่งสถานเอกอัครราชทูตสวิตเซอร์แลนด์ประจำประเทศไทย ได้ให้สิทธิ์ TLScontact ในการแจ้งและให้คำแนะนำแก่บุคคลทั่วไป เกี่ยวกับกระบวนการการขอวีซ่าสำหรับประเทศสวิตเซอร์แลนด์ รวมทั้งการรับเอกสารต่างๆ ในการยื่นขอวีซ่า และการเรียกเก็บค่าธรรมเนียม ตลอดจนส่งคืนหนังสือเดินทางแก่ผู้สมัครเมื่อสิ้นสุดการพิจารณา เราสามารถขอวีซ่าได้ที่ทั้งสถานฑูตสวิสเซอร์แลนด์ และ TLScontact อย่างไรก็ตามการขอวีซ่าที่สถานฑูตโดยตรงจะใช้เวลานัดหมายที่นานกว่า

สามารถเข้าไปดูรายละเอียดเอกสารประกอบการขอวีซ่าได้ที่เว็บไซต์ www.eda.admin.ch/bangkok และ https://ch.tlscontact.com/th/BKK/index.php?l=th ซึ่งหนึ่งในหลักฐานสำคัญในการขอวีซ่าที่ต้องมี ไม่มีไม่ได้ คือ ประกัยภัยการเดินทางต่างประเทศ ที่มีวงเงินความคุ้มครองไม่ต่ำกว่า 30,000 ยูโร หรือ 1,500,000 บาท และจะต้องมีความคุ้มครองค่าใช้จ่ายสำหรับการรักษาตัวในโรงพยาบาลและการส่งกลับเนื่องจากการบาดเจ็บหรือเหตุผลทางการแพทย์ โดยมีระยะเวลาความคุ้มครองครอบคลุมการเดินทางตั้งแต่ออกนอกประเทศไทยจนถึงวันกลับเข้ามา ก่อนซื้อประกันเดินทาง ต้องตรวจสอบรายชื่อบริษัทประกันที่ได้รับการอนุมัติในประเทศไทยด้วย


โดยปกติวีซ่าเชงเก้นสำหรับการท่องเที่ยว จะอนุญาตให้พักอยู่ในกลุ่มประเทศเชงเก้นได้ไม่เกิน 90 วัน ซึ่งขอได้ทั้งแบบ Single Visa (เข้าออกได้ครั้งเดียว) หรือ Multiple Visa (เข้าออกได้หลายครั้ง แต่ระยะเวลารวมกันแล้วไม่เกิน 90 วันภายในระยะเวลา 6 เดือน) แต่โดยมากสถานฑูตประเทศต่างๆ จะไม่ออกวีซ่าให้เกินระยะเวลาในประกันเดินทางมากนัก ดังนั้นควรทำประกันเดินทางเผื่อไว้จากแผนการเดินทางจริงสักเล็กน้อย เผื่อไว้ในกรณีฉุกเฉิน

การวางแผนเที่ยวสวิสไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนที่พักบ่อย ควรพักในเมืองใหญ่เพียง 2 – 3 เมืองก็พอ โดยผู้เขียนเลือกพักที่เบิร์น อินเทอร์ลาเคน และวินเทอร์ทูร์ เฉลี่ยๆ ที่ละประมาณ 5 คืน ตกคืนละ 5,000 – 6,000 บาทต่อสองคน ซึ่งการพักในเมืองใหญ่ ทำให้สามารถเดินทางไปเที่ยวยังเมืองข้างเคียงแบบไปเช้าเย็นกลับได้อย่างสบายเลยค่ะ


จะเที่ยวสวิสให้สนุก การดูพยากรณ์อากาศล่วงหน้าเป็นสิ่งที่ควรทำ เพราะในวันเดียวกัน บางพื้นที่อาจมีฝนฟ้าคะนอง แต่อีกพื้นที่กลับแดดเปรี้ยงท้องฟ้าแจ่มใสก็เป็นได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หากต้องการขึ้นเขา การดูพยากรณ์อากาศล่วงหน้าเป็นสิ่งที่สำคัญมาก เพราะถ้าอากาศไม่ดีมีเมฆปกคลุม ก็อดที่จะเห็นภาพสวยๆ บนยอดเขาที่เป็นที่นิยมทั้งหลาย เรื่องนี้สำคัญจริงๆ นะ เพราะค่ารถไฟหรือกระเช้าขึ้นยอดเขาต่างๆ ราคาแพงเอาการทั้งสิ้น (แม้ว่าจะได้ส่วนลดจากสวิสพาสแล้ว ก็ยังแพงอยู่ดี เช่น ค่าตั๋วรถไฟขึ้นจุงเฟรา หลังหักส่วนลดแล้วยังตกใบละห้าพันกว่าบาทเลยค่ะ) ดังนั้นการวางแผนเที่ยวสวิสจึงต้องค่อนข้างยืดหยุ่น สามารถปรับเปลี่ยนแผนได้ขึ้นอยู่กับดินฟ้าอากาศนั่นเอง

นอกจากนี้อย่าลืมเช็กด้วยว่าเมืองที่เราต้องการจะไป ปิดวันอาทิตย์หรือไม่ เพราะวันอาทิตย์ถือเป็นวันหยุดของชาวสวิส ร้านรวงต่างๆ ก็จะปิด เรือท่องเที่ยวบางสายก็จะปิด รถประจำทางก็วิ่งจำนวนเที่ยวที่น้อยลง หากไม่อยากอกหักอดเที่ยว ต้องวางแผนโปรแกรมเที่ยวในวันอาทิตย์ให้ดีด้วยค่ะ

15 วันจะว่าสั้นก็สั้น (เพราะมีอีกหลายที่ที่ยังไม่ได้ไปเลย) จะว่ายาวก็ยาว (เพราะวันท้ายๆ เริ่มคิดถึงเมืองไทยและอาหารไทยแล้ว) ขอสรุปไฮไลท์ของสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ ที่ได้ไปมา ดังนี้

กรุงเบิร์น (Bern)

กรุงเบิร์น (Bern) คือ เมืองหลวงของสวิส มีหมีเป็นสัญลักษณ์ ตั้งอยู่เกือบกึ่งกลางของประเทศ เป็นชุมทางรถไฟ ทำให้การเดินทางไปเมืองอื่นๆ สะดวกสบายมาก เขตเมืองเก่าสวยงามมาก เมื่อมาถึงเมืองเบิร์นต้องอย่าลืมตามหาบ่อน้ำพุโบราณ ซึ่งจัดได้ว่ามีความสวยงามที่สุดในสวิส โดยเฉพาะรูปประดับบนยอดเสาเหนือน้ำพุที่มีสีสันสดใส บ่อน้ำพุเหล่านี้มีมาตั้งแต่ยุคกลางราวศตวรรษที่ 14 – 15 เป็นบ่อที่ต่อท่อมาจากแหล่งน้ำพุธรรมชาติมาเก็บไว้ในบ่อเพื่อให้ชาวบ้านได้ใช้ดื่มกิน แม้ปัจจุบันจะใช้ระบบประปาแล้ว แต่เขาก็ยังเก็บบ่อน้ำพุเหล่านี้ไว้ ทำให้นักท่องเที่ยวอย่างเราได้อานิสงส์ เติมน้ำเย็นชุ่มฉ่ำใจจากน้ำพุได้ตลอดเวลา สถานที่ท่องเที่ยวที่สำคัญของเมืองเบิร์น ได้แก่ ประตูเมืองโบราณ Kafigturm หอนาฬิกา Zytglogge บ้านไอน์สไตน์ มหาวิหารประจำเมืองและสวนหมี

โลซานน์ (Lausanne)

โลซานน์ (Lausanne) เป็นเมืองที่คนไทยคุ้นเคยเป็นอย่างดี เพราะเป็นเมืองที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดลและพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ทรงศึกษาและเจริญพระชนม์ที่เมืองนี้ พร้อมด้วยสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชินีนาถ และสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ในช่วงปี 2476 – 2494 โลซานน์ตั้งอยู่ติดกับทะเลสาบเจนีวา มีท่าเรือโลซานน์ - อูชชี สำหรับการสัญจรทางน้ำโดยมีเรือโดยสารไปทั้งเจนีวา เวอเวย์ มงเทรอและเมืองเอเวียงในเขตประเทศฝรั่งเศสด้วยค่ะ ผู้เขียนมีโอกาสนั่งเรือล่องทะเลสาบเจนีวาไปยังเมืองเวอเวย์และเมืองเอเวียง ซึ่งมีบรรยากาศและทิวทัศน์ที่สวยงามมาก นอกจากนี้สถานที่ท่องเที่ยวที่สำคัญในเมืองโลซานน์ คือ พิพิธภัณฑ์โอลิมปิก ศาลาไทยเฉลิมพระเกียรติอยู่ในสวนสาธารณะปาร์ค ดู เดอนองตู และเขตเมืองเก่าโลซานน์

ลูเซิร์น (Luzern)

ลูเซิร์น (Luzern) เป็นเมืองศูนย์กลางการท่องเที่ยวที่สำคัญของสวิสมาตั้งแต่อดีต เป็นเมือง a-must ที่พลาดไม่ได้ด้วยประการทั้งปวง ไม่ว่าจะเป็นทางด้านวัฒนธรรมและธรรมชาติที่สวยงามของทะเลสาบและหมู่ขุนเขาที่ตั้งอยู่รายรอบตัวเมือง รวมทั้งเป็นศูนย์กลางการคมนาคมทางรถไฟ ไม่ว่าจะเดินทางไปไหนในสวิสก็สามารถเริ่มต้นจากลูเซิร์นได้ทั้งนั้น เราสามารถเริ่มต้นเดินเที่ยวในเขตเมืองเก่าได้ก่อน จะเห็นสะพานไม้โบราณคาเพลล์บรึกเคอ (Kapellbrucke) ซึ่งทางเดินบนสะพานนั้นสร้างด้วยไม้ หลังคาปูด้วยกระเบื้องดินเผาสีแดง ริมระเบียงประดับด้วยดอกไม้สีสันสวยงาม เมื่อเดินข้ามสะพานนี้ควรเดินข้ามไปให้ถึงอีกฝั่ง เพราะทิวทัศน์ที่มองออกมาจากสะพานนั้นสวยงามเกินบรรยาย สถานที่ท่องเที่ยวในเมืองลูเซิร์นมีมากมาย เช่น อนุสาวรีย์สิงโตสะอื้น สวนกลาเซียร์และพิพิธภัณฑ์ธารน้ำแข็ง นอกจากนี้ยังสามารถนั่งเรือล่องทะเลสาบลูเซิร์น ซึ่งว่ากันว่าทะเลสาบลูเซิร์นนี่แหละ เป็นทะเลสาบที่สวยที่สุดของสวิส และหากมีเวลาก็อย่าลืมไปขึ้นเขาริกิ เขาพิลาตุส และเขาทิตลิสด้วยนะคะ

อินเทอร์ลาเค่น (Interlaken)

อินเทอร์ลาเค่น (Interlaken) เมืองเล็กๆ ทว่ามีชื่อเสียงโด่งดังตั้งอยู่ระหว่างทะเลสาบทูนกับทะเลสาบบรีเอนซ์ ในวันที่ท้องฟ้าแจ่มใสสามารถมองเห็นยอดเขาจุงเฟราอันเลื่องชื่อเป็นฉากหลัง เมืองนี้เป็นเมืองที่นักท่องเที่ยวใช้เป็นที่พักปักหลักเที่ยวไปตามหมู่บ้านหรือเมืองเล็กๆ ที่ตั้งตามเชิงเขาที่มีธรรมชาติที่สวยงาม รวมถึงการนั่งเรือล่องทะเลสาบ และเดินทางเพื่อขึ้นสู่ยอดเขาต่างๆ ด้วย ซึ่งสิ่งแรกที่ทำเมื่อเข้าพักที่โรงแรมในอินเทอร์ลาเค่น คือ สอบถามเรื่องพยากรณ์อากาศ เพราะเรามีแผนที่จะขึ้นเขาอยู่หลายเขาเลย อย่างที่บอกค่าตั๋วรถไฟขึ้นเขามีราคาค่อนข้างสูง เราจึงควรเลือกวันที่อากาศที่ยอดเขาดีที่สุด ซึ่งยอดเขาที่สำคัญ ได้แก่ ยอดเขาซิลธอร์น และยอดเขาจุงเฟรา ซึ่งผู้เขียนได้มีโอกาสไปขึ้นเขาจุงเฟรามา โดยสถานี Jungfraujoch ได้ชื่อว่าเป็นสถานีรถไฟที่สูงที่สุดในยุโรป โดยตั้งอยู่ในอุโมงค์ที่ระดับความสูง 3,453 เมตร ยอดเขาจุงเฟราเป็นยอดเขาที่มีหิมะปกคลุมทั้งปี ทำให้เราสามารถขึ้นไปสัมผัสประสบการณ์ภูเขาหิมะได้อย่างไม่ยากเย็น ภายในสถานีซึ่งก็เหมือนกับถ้ำใต้ภูเขามีศูนย์บริการนักท่องเที่ยว ร้านอาหาร และร้านขายของที่ระลึก นอกจากนี้ยังมีสถานที่ที่น่าสนใจ คือ วังน้ำแข็ง เป็นสถานที่จัดแสดงประติมากรรมแกะสลักน้ำแข็ง และเรายังสามารถเดินออกไปนอกสถานีสู่ลานหิมะ เพื่อสัมผัสกับหิมะที่ขาวโพลนได้ด้วย ถ่ายรูปกันเพลินไปเลยค่ะ

ซังต์มอริตซ์ (Saint Moritz)

ซังต์มอริตซ์ (Saint Moritz) ได้ชื่อว่าเป็นเมืองสกีรีสอร์ตที่เก่าแก่มากที่สุดในโลก และเป็นเมืองตากอากาศยอดนิยมและหรูหรามากที่สุดในโลก เพราะผู้ที่มาเที่ยวนอกจากนักสกีหรือผู้นิยมกีฬาฤดูหนาวแล้ว ยังมีบรรดาไฮโซเศรษฐีผู้ดีมาพักผ่อนที่นี่เป็นจำนวนมาก ทำให้บรรดาโรงแรมรีสอร์ตหรูหรา และร้านค้าแบรนด์เนมเข้ามาเปิดสาขาในเมืองนี้กันเต็มไปหมด นอกจากนี้ซังต์มอริตซ์ยังมีชื่อเสียงเรื่องเมืองน้ำแร่หรือบ่อน้ำพุร้อนธรรมชาติด้วย โดยมากนักท่องเที่ยวนิยมมาพักที่เมืองนี้ในช่วงหน้าหนาว ในหน้าร้อนก็มีคนมาเที่ยวเหมือนกัน แต่ไม่คึกคักเท่า  ทำให้บรรดาโรงแรมที่พักต่างๆ ก็มักจะลดราคาลง  การได้ไปที่ซังต์มอริตซ์ในเดือนมิถุนายนถึงกรกฎาคมซึ่งเป็นช่วงหน้าร้อนของสวิส (แม้จะเป็นหน้าร้อน แต่อากาศเย็นสบาย เนื่องจากเป็นเมืองในหุบเขา) จึงได้ที่พักดีงามมาก ในราคาที่ไม่แพงเลย รู้สึกคุ้มค่ามาก จึงเอามาเล่าสู่กันฟัง นอกจากนี้ยังมีโอกาสไปแช่น้ำพุ ท่ามกลางขุนเขา ฟินอย่าบอกใครเลยค่ะ เสียดายอยู่ค้างที่ซังต์มอริตซ์แค่คืนเดียว โอกาสหน้าฟ้าใหม่จะกลับไปที่ซังต์มอริตซ์อีกอย่างแน่นอน

หากใครชอบธรรมชาติ ไปเที่ยวสวิสรับรองไม่ผิดหวังอย่างแน่นอน เพราะมีธรรมชาติของทุ่งหญ้า ขุนเขา หิมะ ธารน้ำแข็ง ทะเลสาบและเขตเมืองเก่าที่สวยงามมากจริงๆ วิถีชีวิตของผู้คนก็เรียบง่าย และมีระเบียบวินัย อีกทั้งระบบขนส่งสาธารณะที่เชื่อมโยงกันได้อย่างดีเยี่ยม และตรงเวลามาก ทำให้แม้ว่าผู้เขียนจะไปสวิสมาแล้ว 15 วัน หากมีโอกาสก็อยากกลับไปเที่ยวสวิสอีก อ้อ! ลืมบอก ค่าใช้จ่ายในทริปนี้ของเราสองคนแม่ลูกรวมทุกอย่าง (แต่ไม่รวม shopping) อยู่ที่ประมาณ 200,000 บาทค่ะ ซึ่งจะเห็นว่าถูกกว่าไปกับทัวร์เกือบครึ่งเลยนะคะ ดังนั้นหากเราวางแผนเที่ยวดีๆ เที่ยวสวิสก็เป็นฝันที่ไม่ไกลเกินเอื้อมเลยจริงๆ ค่ะ