ขายรถเก่าให้ได้ราคา ต้องทำยังไง?

“รถยนต์” ไม่มีรถคันไหนที่จะใช้แบบไม่ต้องซ่อมไปจนตลอดอายุการใช้งาน ยิ่งเมื่อเราใช้ไปประมาณ 5-7 ปี การเสื่อมสภาพของเครื่องยนต์และชิ้นส่วนต่างๆ ก็สร้างปัญหาให้เกิดขึ้นกับรถของเราได้ และถ้าเราเกิดอยากจะเปลี่ยนรถคันใหม่ โดยขายคันเก่าของเราไป ก็ต้องมาคิดแล้วว่าทำอย่างไร หรือต้องซ่อมแซมรถมากน้อยแค่ไหน ถึงจะขายต่อให้ได้ราคาดีที่สุด

 

หลายคนอาจคิดว่าจะขายรถทั้งทีไม่เห็นต้องมีเทคนิคอะไรมากนัก แค่เช็กสภาพ แล้วซ่อมบำรุงให้รถใช้งานได้ดีตามสภาพ เพียงเท่านี้ก็น่าจะขายรถได้ในราคาที่น่าจะสมน้ำสมเนื้อ  ซึ่งนั่นเป็นความเข้าใจที่ผิด เพราะหากเราอยากขายรถให้ได้ราคาเราต้องลงทุนแต่งองค์ทรงเครื่องให้รถสักหน่อย ตรงไหนบุบมากควรซ่อมแล้วเก็บสีให้เรียบร้อย แต่ถ้าเป็นรอยเล็กๆ น้อยๆ ก็พออนุโลมได้ ส่วนหน้าเครื่องควรเปลี่ยนชิ้นส่วนที่จำเป็นต่อการใช้งานจริงๆ เช่น หัวเทียน น้ำมันเครื่อง ไส้กรองอากาศ สายพานเครื่องยนต์ น้ำยาแอร์ ถ่ายน้ำมันเครื่อง น้ำมันเบรก น้ำมันเกียร์ เติมน้ำกลั่นแบตเตอรี่ ระดับน้ำมันคลัทช์ และถ้าน้ำในหม้อน้ำเป็นสนิมก็ควรถ่ายล้างทำความสะอาดด้วย เพราะเวลาผู้ซื้อมาขอดูรถจะได้สตาร์ทโชว์กันง่ายหน่อย ไม่ใช่สตาร์ทไม่ติดเพราะไฟแบตเตอรี่ไม่ค่อยดี หรือเวลาเร่งเครื่องแล้วเครื่องเกิดสะดุดเพราะหัวเทียนบอด หากเป็นแบบนี้ผู้ซื้อย่อมไม่พอใจอย่างแน่นอน แต่ถ้าเปิดดูห้องเครื่องแล้วพบว่าสะอาดเอี่ยม ไม่มีน้ำมันเครื่องหยดเลอะเทอะ แถมยังสตาร์ทติดง่าย เร่งดี ไม่มีเสียงเกรียวกราว ก็ย่อมสร้างความพึงพอใจให้แก่ผู้ซื้อ และการต่อรองก็จะไม่มากนักเพราะสภาพรถของเราดีนั่นเอง

 

นอกจากการดูแลซ่อมแซมในสิ่งต่างๆ ที่สำคัญๆ ไปแล้ว ก็ควรล้างรถทั้งภายนอกและภายใน เบาะขาดก็ต้องซ่อมแซม พรมปูพื้นขาดก็ควรเปลี่ยน เป็นต้น ตรงไหนซ่อมได้ก็ควรซ่อม ตรงไหนซ่อมไม่ได้ก็ควรเปลี่ยน ผู้ที่มาซื้อรถถ้าเห็นรถอยู่ในสภาพดี ยังไงก็อยากซื้อ แต่ถ้าสภาพรถดูแย่แล้วต้องไปซ่อมอีกเยอะ ต่อให้ราคาถูกแค่ไหน ก็คงต้องคิดหนักอย่างแน่นอน

ทีนี้เราลองมาดูกันว่า จุดต่างๆ ของรถที่ควรต้องดูแล ปรับปรุง ซ่อมแซมสภาพให้ดูดีขึ้น เพื่อให้ขายได้ง่ายและเร็วขึ้น ซึ่งบางจุดในรถเราสามารถลงทุนซ่อมแซมให้เรียบร้อยดีในราคาที่ไม่สูงมาก แล้วดึงราคาขายให้เพิ่มขึ้นได้ด้วย หรือหากเพิ่มราคาไม่ได้ ก็ไม่ทำให้รถของเราโดนกดราคาลงแน่ๆ

 

        ●    ระบบไฟฟ้าด้านหน้าคนขับ อุปกรณ์ที่เชื่อมต่ออยู่ในบริเวณคอนโซลหรือช่วงหน้ารถยนต์เป็นจุดที่สังเกตได้ง่ายที่สุดสำหรับผู้ซื้อ เมื่อลองนั่งแล้วก็ต้องลองใช้ฟังก์ชั่นต่างๆ ตั้งแต่เข็มหน้าปัด ไฟสัญญาณ วิทยุหรือแม้แต่ที่ปัดน้ำฝน

 

            เบาะที่นั่ง ขึ้นอยู่กับเบาะของรถด้วยว่าเป็นแบบไหน หากเป็นเบาะหนังแท้คงไม่เป็นปัญหาเท่าไหร่ แต่หากเป็นเบาะผ้าหรือหนังเทียม จะสังเกตได้ง่ายว่าผ่านการดูแลมามากน้อยขนาดไหน กลิ่นอับ ฝุ่นสะสม คราบหรือลายแตกบนเบาะหนังเทียมล้วนเป็นหนึ่งในเหตุผลที่ผู้ซื้อสามารถนำมาตัดราคาได้

 

            ประตูรถยนต์ เป็นจุดที่ผู้ขับขี่รถยนต์เป็นประจำมักให้ความสำคัญ เพราะสังเกตเห็นได้ง่าย ดังนั้นระบบล็อกของประตูหน้าและหลังของรถยนต์ต้องใช้การได้ดี  รวมถึงที่ฝากระโปรงท้ายรถด้วย

 

            ใต้ท้องรถ เป็นอีกจุดที่ควรระวัง ลองเช็กดูว่าที่จอดรถยนต์ของเรามีคราบน้ำมันอะไรหรือไม่ เมื่อคนซื้อทดสอบ ก็จะเช็กวิธีเดียวกัน หากมีอะไรรั่วซึมที่ใต้ท้องรถยนต์ อาจจะต้องนำไปเข้าศูนย์บริการเพื่อซ่อมแซมด้วยมืออาชีพเท่านั้น แต่ป้องกันไว้ดีกว่าแก้ ทางที่ดีก่อนจะขายก็ตรวจสภาพไปก่อนเลยดีกว่า

 

        ●   ยางติดรถ ให้อยู่ในสภาพที่ดีซักหน่อย ถ้าดอกยางหาไม่ค่อยเจอหรือสึกไม่เรียบกินเป็นแถบก็ควรเปลี่ยนใหม่ อาจซื้อยางมือสองสภาพดีๆ มาเปลี่ยนก็ได้ อุปกรณ์ประจำรถอย่างยางอะไหล่ หรือเหล็กขันล้อก็ควรใส่ไว้ให้ครบและของท้ายรถก็เช่นกัน ควรเก็บของและทำความสะอาดให้ดูเรียบร้อย

    

อย่างไรก็ตาม จุดประสงค์ของการขายรถของเราคือ ขายให้ได้ราคาดีและได้กำไรมากที่สุด หากซ่อมแซมอะไรก็ต้องศึกษาให้ดีๆ ระวังค่าซ่อมจะสูงเกินไปจนขาดทุน แน่นอนว่าสิ่งที่ควรทำตั้งแต่แรกคือการดูแลรถของเราให้ดีตั้งแต่ซื้อมา รักษาความสะอาดทั้งเครื่องยนต์ และห้องโดยสาร เพียงเท่านี้เมื่อถึงเวลาที่เราต้องขายรถ รับรองว่าไม่ต้องซ่อมแซมมากแถมขายได้ราคาที่ดีเป็นที่น่าพอใจอย่างแน่นอน