อุตสาหกรรมเหล็ก การเติบโตที่น่าจับตา

อุตสาหกรรมเหล็กเป็นอุตสาหกรรมที่มีความสำคัญต่อการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ เนื่องจากมีความจำเป็นต่อการผลิต พัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน รวมถึงในภาคอุตสาหกรรมต่อเนื่อง เช่น อุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้า ยานยนต์ สะพาน ทางหลวง ก่อสร้าง พลังงาน บรรจุภัณฑ์ เสาส่งสัญญาณสาธารณูปโภค ดังนั้น อุตสาหกรรมเหล็กจึงมีความน่าสนใจในเรื่องของการเติบโตและการลงทุน


ย้อนกลับไปปี 2563 เนื่องจากการแพร่ระบาดเชื้อไวรัส Covid-19 ส่งผลให้การขยายตัวเศรษฐกิจปรับลดลง ประกอบกับปัญหาภาคการขนส่ง ทำให้ความต้องการในการบริโภคเหล็กหยุดชะงักลง โดยการผลิตเหล็กดิบทั่วโลกลดลง 0.9% อยู่ที่ 1,864 ล้านตัน (ที่มา : สมาคมเหล็กโลก)


ต่อมาในปี 2564 หลังจากมีมาตรการผ่อนคลายต่างๆ ออกมา กิจกรรมทางเศรษฐกิจสามารถดำเนินการได้มากขึ้น ภาคการผลิตของอุตสาหกรรมมีแนวโน้มและทิศทางที่ฟื้นตัวดีขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไป ทำให้ความต้องการผลิตภัณฑ์เหล็กสำเร็จรูปปรับตัวดีขึ้นด้วย โดยอัตราการบริโภคเหล็กของโลกเติบโตอยู่ที่ระดับ 4.5%โดยในปี 2565 สมาคมเหล็กโลกประเมินว่าทั่วโลกจะมีความต้องการเหล็กประมาณ 1,896 ล้านตัน ปัจจัยสำคัญมาจากการฟื้นตัวเศรษฐกิจโลกและการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานเพิ่มสูงขึ้น


สำหรับราคาผลิตภัณฑ์เหล็กโลก พบว่าช่วงปลายปี 2564 ถึงต้นปี 2565 ลดความร้อนแรงลง เนื่องจากโรงงานเหล็กส่วนใหญ่ทั่วโลกกลับมาผลิตเหล็กในปริมาณเกือบเป็นปกติแล้ว โดยเดือนมกราคมปี 2565 ราคาผลิตภัณฑ์เหล็กทรงยาวและเหล็กทรงแบนปรับตัวลดลงเหลือ 756 - 762 เหรียญสหรัฐต่อตันหรือลดลง 18 – 24% จากราคาที่เคยปรับขึ้นไปสูงสุดเมื่อกลางปี 2564


อย่างไรก็ตาม เป็นไปได้ยากที่ราคาเหล็กจะลดลงไปต่อเนื่องจนเทียบเท่าระดับราคาในปี 2563 เนื่องจากราคาเหล็กในจีนและภูมิภาคเอเชียจะทรงตัว และมีโอกาสปรับขึ้นได้ในอนาคต โดยจีนปรับนโยบายเรื่องยกเลิกการให้ภาษีส่งออก (Rebate VAT) สินค้าเหล็ก รวมถึงมีนโยบายด้านสิ่งแวดล้อม ส่งผลให้มีต้นทุนในกระบวนการผลิตเพิ่ม รวมถึงสถานการณ์ของต้นทุนพลังงานและวัตถุดิบต่าง ๆ เช่น ถ่านหินที่มีแนวโน้มปรับราคาสูงขึ้น (ที่มา : สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย)


ตัวอย่าง บริษัทเหล็กขนาดใหญ่ระดับโลก

บริษัท

ประกอบธุรกิจ

TimkenSteel Corp.

(สหรัฐอเมริกา)

ผู้ผลิตและจำหน่ายเหล็กและส่วนประกอบ รวมถึงเหล็กเส้น ตลับลูกปืน ซีล ท่อ และโซ่ มีลูกค้ารายใหญ่อยู่ในอุตสาหกรรมน้ำมันและก๊าซ อุตสาหกรรม เหมืองแร่ การก่อสร้าง และการผลิตไฟฟ้า

Commercial Metals

(สหรัฐอเมริกา)

ผู้ผลิต รีไซเคิล และผลิตภัณฑ์เหล็กและโลหะและวัสดุอื่น ๆ เกี่ยวกับเหล็ก มีลูกค้าหลักในสหรัฐอเมริกา โปแลนด์ และจีน นอกจากนี้ยังผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์เหล็กเส้นยาวสำเร็จรูป ตลอดจนเหล็กแท่งกึ่งสำเร็จรูป และยังจัดหาผลิตภัณฑ์เหล็กที่ใช้เสริมคอนกรีตในการก่อสร้างโครงการขนาดใหญ่ และยังจำหน่ายเหล็กเส้นสำหรับอุตสาหกรรมรถพ่วง และยานพาหนะทางทหาร

United States Steel

(สหรัฐอเมริกา)

ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์เหล็กแผ่นรีดและท่อกลมในอเมริกาเหนือและยุโรปเป็นหลัก

Ternium S.A.

(ลักเซมเบิร์ก)

ผลิต แปรรูป และจำหน่ายผลิตภัณฑ์เหล็กต่าง ๆ ให้กับลูกในเม็กซิโก อาร์เจนตินา ปารากวัย ชิลี โบลิเวีย อุรุกวัย บราซิล สหรัฐอเมริกา โคลอมเบีย กัวเตมาลา คอสตาริกา ฮอนดูรัส เอลซัลวาดอร์ และนิการากัว

Companhia Siderurgica Nacional

(บราซิล)

ผู้ผลิตเหล็กกล้า ผลิตภัณฑ์เหล็กแผ่นเรียบ แผ่นเหล็กรีดร้อน เหล็กม้วน สังกะสี โดยมีลูกค้าหลัก ๆ ในบราซิล เช่น อุตสาหกรรมก่อสร้าง รถไฟ ท่าเรือ

ที่มา : finance.yahoo


สำหรับหุ้นกลุ่มเหล็ก สามารถเลือกลงทุนจาก 3 กลยุทธ์ ดังนี้


1.Value Stock

เน้นลงทุนหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานแข็งแกร่ง ธุรกิจมั่นคง ราคาหุ้นถูกกว่ามูลค่าที่แท้จริง ด้วยการดูอัตราส่วนทางการเงินเป็นสำคัญ เช่น อัตราส่วนราคาตลาดต่อมูลค่าตามบัญชี (P/BV Ratio), อัตราส่วนราคาต่อกำไร (P/E Ratio), อัตราส่วนผลตอบแทนต่อส่วนของผู้ถือหุ้น (ROE) หรืออัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (D/E Ratio) เป็นต้น


2.Growth Stock

เน้นธุรกิจที่มีแนวโน้มการเติบโตที่ดี เช่น ขยายธุรกิจต่อเนื่อง มีนโยบายธุรกิจใหม่ ๆ ดังนั้น ธุรกิจจะมีรายได้และกำไรเติบโตอย่างรวดเร็วและต่อเนื่องกันหลาย ๆ ปี โดยการเติบโตจะมาจากยอดเพิ่มขึ้นของธุรกิจหลัก หรือเติบโตจากการควบรวมกิจการ ซึ่งเมื่อลงทุนแล้วก็เน้นผลตอบแทนจากส่วนต่างราคาหุ้น (Capital gain)

3.Momentum Stock

เน้นหุ้นที่มีปริมาณซื้อขายสูงและลงทุนตามแนวโน้มขาขึ้นของตลาด เช่น เมื่อเห็นเม็ดเงินลงทุนไหลเข้าก็เข้าลงทุนตามไปด้วย ดังนั้น การวิเคราะห์หุ้นจึงเน้นยอดซื้อสุทธิ รวมถึงข้อมูลปัจจัยพื้นฐานประกอบด้วย


จากแนวโน้มการฟื้นตัวเศรษฐกิจโลก ทำให้ความต้องการเหล็กเพิ่มขึ้นตามไปด้วย หุ้นกลุ่มเหล็กจึงได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นเช่นกัน อย่างไรก็ตาม ก่อนตัดสินใจลงทุนควรศึกษาข้อมูล เช่น ติดตามราคาเหล็ก กำลังการผลิต การเปลี่ยนแปลงนโยบายภาครัฐ รวมถึงสถานการณ์โลกที่อาจส่งผลต่อธุรกิจเหล็ก ซึ่งจะส่งผลต่อราคาหุ้นกลุ่มเหล็กด้วยเช่นเดียวกัน