ปรับตัวพร้อมเปลี่ยนโลกการลงทุนครั้งใหญ่ เพื่อสิ่งที่ดีกว่า

ในช่วงที่ผ่านมาหลายคนคงจะคุ้นหูกับคำว่า ‘The Great Reset’ ซึ่งไม่ได้หมายถึงว่าเราจะเริ่มต้นทุกอย่างใหม่จากศูนย์ แต่เป็นการปรับเปลี่ยนครั้งใหญ่จากสิ่งเดิมที่เป็นอยู่ โดยจากการประชุม World Economic Forum (WEF) หรือสภาเศรษฐกิจโลก ซึ่งจัดขึ้นที่เมืองดาวอส ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ในปี 2563 ที่ผ่านมา มองว่าปี 2564 เป็นปีที่โลกมาถึงสี่แยกที่จำเป็นต้องเลือกว่าจะเดินต่อไปเหมือนเดิม หรือเปลี่ยนเส้นทางเดินใหม่ในโลกหลังการระบาดของโควิด ซึ่งในการประชุมนี้หลายหน่วยงานได้พยายามผลักดันให้เกิดผลลัพธ์อย่างเป็นรูปธรรมมากยิ่งขึ้น


ขณะเดียวกัน หากปล่อยให้การสร้างความสมดุลใหม่ (The New Normal) โดยไม่ผลักดันให้เกิดผลลัพธ์ในเชิงบวก ความสมดุลใหม่นี้อาจจะนำมาซึ่งปัญหาความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจหรือผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมที่ไม่อาจจะหลีกเลี่ยงได้ ซึ่งผู้เชี่ยวชาญต่างคาดการณ์ว่าหลังโควิดจะเกิดผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวันและการดำเนินธุรกิจ โดยเมื่อเกิดการเปลี่ยนแปลงในประเทศหนึ่งก็จะส่งผลกระทบต่ออีกประเทศหนึ่ง


ทั้งนี้ ภาครัฐก็มีส่วนสำคัญที่จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการใช้นโยบายภาษี การออกกฎระเบียบ หรือการใช้นโยบายทางการคลังที่มีความเป็นธรรมมากขึ้น ในส่วนภาคธุรกิจนั้นก็จะต้องเริ่มมองดูถึงเป้าหมายที่นอกเหนือจากผลกำไร รวมทั้งจะต้องมีการปรับตัวเพื่อเป็นผู้อยู่รอดต่อไป เช่น การเปลี่ยนแปลงทางดิจิตอล (Digital Transformation) หรือการดำเนินธุรกิจ-การลงทุนที่คำนึงถึงความยั่งยืนมากขึ้นตามมาตรฐานของ UN Sustainable Development Goals ซึ่งเป็นสิ่งที่นักลงทุนให้ความสำคัญเพิ่มขึ้นมากขึ้นต่อเนื่องในอีกหลายปีข้างหน้านี้


สำหรับนักลงทุนก็เช่นกัน มีความจำเป็นที่จะต้องปรับตัวอยู่ไม่น้อย เช่น

 

  1. เรื่องของข้อมูลการลงทุนที่มีจำนวนมากขึ้น ซึ่งหากผู้ลงทุนมีการติดตามข่าวสารและมีข้อมูลการวิเคราะห์จากผู้เชี่ยวชาญอย่างสม่ำเสมอ ก็จะช่วยให้นักลงทุนมีความเข้าใจและทราบถึงทิศทางการลงทุนเพื่อจะได้รับประโยชน์จากการเปลี่ยนแปลงนี้ได้  

  2. นักลงทุนควรสร้างความเข้าใจกับการลงทุนแบบยั่งยืน และการเปิดเผยข้อมูลด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และบรรษัทภิบาล (ESG) ซึ่งจะเป็นเทรนด์ที่เกี่ยวกับการทำธุรกิจและการลงทุนที่เน้นผลลัพธ์ในเชิงบวกให้กับโลก ซึ่งนอกจากจะสร้างการเปลี่ยนแปลงในเชิงบวกกับสิ่งแวดล้อมและสังคมแล้ว การลงทุนประเภทนี้ยังมีแนวโน้มที่มีความเสี่ยงต่ำในระยะยาวและให้ผลตอบแทนที่ดีได้อีกด้วย  

  3. วิธีการวิเคราะห์เดิมอาจจะใช้ไม่ได้ในโลกแห่งความไม่แน่นอน การเปลี่ยนแปลงสามารถเกิดขึ้นได้เร็วขึ้น ดังนั้นรูปแบบโมเดลธุรกิจแบบเดิมอาจจะไม่เหมาะในการทำธุรกิจในโลกอนาคต โดยเฉพาะเทคนิคการวิเคราะห์ทางการเงินจากตัวเลขในอดีตซึ่งจะมีความสำคัญน้อยลง ในขณะที่การเข้าใจแผนการดำเนินธุรกิจของผู้บริหารองค์กรและการวิเคราะห์โมเดลธุรกิจที่จะเกิดขึ้นในอนาคต แหล่งที่มาของรายได้จะมีความสำคัญมากขึ้น เนื่องจากเป็นปัจจัยที่สามารถนำมาวิเคราะห์ธุรกิจได้มากกว่าผลประกอบการในอดีต 
     
  4. การปรับตัวกับความเสี่ยงและผลตอบแทนแบบใหม่ๆ เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นเร็วนักลงทุนจะต้องปรับตัวเมื่อธุรกิจมีการใช้นโยบายการจ่ายปันผลที่ต่ำหรือไม่จ่ายปันผลเลย เพื่อนำเม็ดเงินดังกล่าวมาสนับสนุนการดำเนินธุรกิจในอนาคต โดยนักลงทุนที่เน้นคุณค่า (Value Investors) ซึ่งเป็นสไตล์การลงทุนที่ได้รับความนิยมในศตวรรษที่ 20 อาจจะไม่ถูกใจมากนัก  
adjust-investment-for-better-01

อย่างไรก็ดีในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา (2553-2563) สไตล์การลงทุนที่เน้นการเติบโตของรายได้และกำไร (Growth Investing) ให้ผลตอบแทนที่สูงกว่าการลงทุนแบบเน้นคุณค่าถึง 135% (คำนวณจาก MSCI World AC Growth Index และ MSCI World AC Value Index) ซึ่งเป็นแนวทางที่เหมาะสมกว่าในโลกในช่วง ‘The Great Reset’


ถึงแม้ว่าการระบาดของโควิดจะส่งผลกระทบอย่างหนักทั่วโลก แต่การใช้โอกาสนี้มาทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงเชิงบวกในการใช้ชีวิต เศรษฐกิจ และสังคม โดยการผลักดันจากผู้ที่มีส่วนได้เสียเป็นสิ่งที่สมควรทำและไม่ควรปล่อยให้เสียของ นักลงทุนเองก็ควรจะปรับตัวและทำให้ตนเองมีความทันสมัยกับโลกการลงทุนอยู่ตลอดเวลา เพราะการลงทุนมันไม่มีสูตรที่ตายตัว ดังนั้นการเรียนรู้และการปรับตัวให้ทันต่อสถานการณ์ จึงเป็นส่วนหนึ่งที่จะช่วยให้นักลงทุนประสบความสำเร็จในการลงทุนได้เช่นกัน 


สำหรับนักลงทุนที่พร้อมก้าวเข้าสู่การเปลี่ยนโลก และสนใจลงทุนในธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับนวัตกรรมใหม่ๆ บลจ.ไทยพาณิชย์ ขอนำเสนอกองทุน กองทุนเปิดไทยพาณิชย์  Innovation (SCBINNO) ลงทุนในกองทุนรวมต่างประเทศเพียงกองทุนเดียวคือ  ARK Innovation ETF (ARKK) (กองทุนหลัก) เน้นลงทุนในธุรกิจที่ได้ประโยชน์จากความก้าวหน้าด้านเทคโนโลยีใหม่ๆ ในหลากหลายอุตสาหกรรม


นอกจากนี้ยังเปิดให้นักลงทุนได้เลือกลงทุนถึง 3 รูปแบบ ได้แก่
 

  1. SCBINNO(A) – ชนิดสะสมมูลค่า เปิดให้ซื้อได้ในทุกช่องทาง

  2. SCBINNO(E) – ชนิดช่องทางอิเล็กทรอนิกส์ ในรูปแบบ e-class ซึ่งฟรีค่าธรรมเนียมการซื้อและการจัดการ โดยต้องลงทุนผ่าน SCBAM Fund Click เท่านั้น

  3. SCBINNO(SSF) – ชนิดกองทุนรวมเพื่อส่งเสริมการออมระยะยาว (SSF)

 

บทความโดยคุณณรงค์ศักดิ์ ปลอดมีชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร SCBAM 

ข้อมูล ณ วันที่ 5 พฤศจิกายน 2564

ขอบคุณข้อมูล : The Standard Wealth