ผลการค้นหา "{{keyword}}" ไม่ปรากฎแต่อย่างใด
การใช้และการจัดการคุกกี้
ธนาคารมีการใช้เทคโนโลยี เช่น คุกกี้ (cookies) และเทคโนโลยีที่คล้ายคลึงกันบนเว็บไซต์ของธนาคาร เพื่อสร้างประสบการณ์การใช้งานเว็บไซต์ของท่านให้ดียิ่งขึ้น โปรดอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมที่ นโยบายการใช้คุกกี้ของธนาคาร
03-12-2568
การวางแผนทรัพย์สิน นอกจากการเตรียมทำพินัยกรรมเพื่อส่งต่อทรัพย์มรดกให้แก่ทายาทซึ่งเป็นบุคคลที่เรารักและห่วงใย สิ่งหนึ่งที่สำคัญที่เราควรคิดและเตรียมการไว้ล่วงหน้าให้แก่ทายาทนั่นก็คือ ภาษีการรับมรดก เรามาติดตามกันในบทความนี้นะครับ และสำหรับท่านใดที่มีความสนใจในเรื่องพินัยกรรม ท่านสามารถติดตามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ “พินัยกรรม กุญแจสำคัญในการรักษาความมั่งคั่งของครอบครัว”
ภาษีการรับมรดกเริ่มมีผลบังคับใช้สำหรับการเสียชีวิตของเจ้ามรดกตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2559 โดยจะจัดเก็บจากผู้ที่ได้รับทรัพย์มรดกจากเจ้ามรดกแต่ละราย สำหรับผู้รับมรดกที่เป็นบุคคลธรรมดาที่มีสัญชาติไทยรวมทั้งบุคคลธรรมดาที่ไม่ได้มีสัญชาติไทยแต่มีถิ่นที่อยู่ในราชอาณาจักรตามกฎหมายว่าด้วยคนเข้าเมืองก็จะต้องนำทรัพย์มรดกที่ได้รับทั้งในประเทศและต่างประเทศมาพิจารณาว่าทรัพย์สินนั้นถูกจัดประเภทอยู่ภายใต้การเสียภาษีการรับมรดกหรือไม่ หากใช่ก็จะต้องนำทรัพย์สินนั้นมารวมคำนวณเพื่อเสียภาษีการรับมรดก โดยสรุปได้ดังนี้นะครับ
1. ประเภททรัพย์สินที่ถูกจัดเก็บภาษีการรับมรดก
ในปัจจุบันแบ่งได้ 5 ประเภท ดังนี้
1.1 อสังหาริมทรัพย์ เช่น ที่ดิน บ้าน อาคาร คอนโด
1.2 หลักทรัพย์ตามกฎหมายว่าด้วยหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ เช่น หุ้นกู้ หุ้นสามัญในตลาดหลักทรัพย์ หุ้นสามัญนอกตลาดหลักทรัพย์
1.3 ยานพาหนะที่มีทะเบียน เช่น รถยนต์ รถจักรยานยนต์
1.4 เงินฝากธนาคารหรือเงินอื่นใดที่มีลักษณะอย่างเดียวกัน
1.5 ทรัพย์สินทางการเงินที่กำหนดเพิ่มขึ้นโดยพระราชกฤษฎีกา
ภาษีการรับมรดกจะจัดเก็บจากทรัพย์สิน 5 ประเภทข้างต้นในส่วนที่เกิน 100 ล้านบาทภายหลังจากหักภาระหนี้สินอันตกทอดมาจากการรับมรดก ซึ่งส่วนที่เกินกว่า 100 ล้านบาทจะถือว่าเป็นฐานภาษีที่จะต้องเอามาคำนวณเพื่อเสียภาษีการรับมรดกตามอัตราภาษีที่ผมจะได้กล่าวถึงในข้อ 2
หากทายาทได้รับทรัพย์มรดกที่เป็นทรัพย์สินนอกเหนือจากทรัพย์สิน 5 ประเภทข้างต้นนี้ ทายาทท่านนั้นก็จะไม่ต้องนำทรัพย์มรดกดังกล่าวมารวมเป็นฐานภาษีในการเสียภาษีการรับมรดก ตัวอย่างทรัพย์สินที่ไม่ถูกจัดอยู่ใน 5 ประเภทข้างต้น เช่น เงินค่าสินไหมทดแทนจากการทำประกันชีวิต พระเครื่อง ภาพเขียน เครื่องประดับ เงินสด
2.อัตราภาษี
การคำนวณเพื่อเสียภาษีการรับมรดกแบ่งได้ 2 อัตรา ดังนี้
2.1 อัตรา 5% กรณีทายาทเป็น:
2.2 อัตรา 10% กรณีทายาทเป็นบุคคลอื่น
สำหรับคู่สมรสที่จดทะเบียนถูกต้องตามกฎหมายจะได้รับยกเว้นไม่ต้องเสียภาษีการรับมรดกนะครับ
สำหรับท่านใดที่ได้ลองคำนวณทรัพย์สิน 5 ประเภทที่ได้กล่าวไปแล้วข้างต้น โดยเฉพาะทรัพย์สินที่เป็นอสังหาริมทรัพย์ที่นับวันราคาจะมีแต่สูงขึ้น แล้วพบว่าทายาทของท่านอาจจะต้องเสียภาษีการรับมรดกในอนาคต ท่านก็อาจจะพิจารณาผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่เรียกว่าประกันชีวิตเพื่อใช้เป็นเครื่องมือในการวางแผนส่งต่อความมั่งคั่งรวมทั้งช่วยบริหารจัดการภาษีการรับมรดกให้แก่ทายาทของท่าน หากลูกค้า SCB PRIVATE BANKING ท่านใดมีความสนใจในเครื่องมือทางกฎหมายและเครื่องมือทางการเงินเพื่อบริหารจัดการภาษีการรับมรดก ท่านสามารถติดต่อ RM ของท่านเพื่อให้หน่วยงาน Wealth Planning and Family Office ได้เข้าไปดูแลท่านได้เลยนะครับ
บทความโดย : ดร.นิติ เนื่องจำนงค์ ผู้อำนวยการอาวุโส Wealth Planning and Family Office
ลูกค้า SCB PRIVATE BANKING ที่สนใจในเรื่องบริหารสินทรัพย์ครอบครัวเพื่อส่งต่อความมั่งคั่งจากรุ่นสู่รุ่น สามารถติดต่อ Wealth Planning and Family Office Division ของธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) ได้ที่อีเมล [email protected] หรือที่ปรึกษาด้านการเงินและการลงทุน (RM) ของท่าน