ผลการค้นหา "{{keyword}}" ไม่ปรากฎแต่อย่างใด
การใช้และการจัดการคุกกี้
ธนาคารมีการใช้เทคโนโลยี เช่น คุกกี้ (cookies) และเทคโนโลยีที่คล้ายคลึงกันบนเว็บไซต์ของธนาคาร เพื่อสร้างประสบการณ์การใช้งานเว็บไซต์ของท่านให้ดียิ่งขึ้น โปรดอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมที่ นโยบายการใช้คุกกี้ของธนาคาร
การใช้และการจัดการคุกกี้
ธนาคารมีการใช้เทคโนโลยี เช่น คุกกี้ (cookies) และเทคโนโลยีที่คล้ายคลึงกันบนเว็บไซต์ของธนาคาร เพื่อสร้างประสบการณ์การใช้งานเว็บไซต์ของท่านให้ดียิ่งขึ้น โปรดอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมที่ นโยบายการใช้คุกกี้ของธนาคาร
เจาะลึกการประชุม COP26 และโอกาสการลงทุนจากธีมรักษ์โลกที่มากกว่าแค่พลังงานทดแทน
ทำไมเราต้องให้ความสำคัญกับการประชุม COP26 (Conference of the Parties 26)? ก่อนที่จะตอบคำถามนี้ได้ ผมต้องขอย้อนความกลับไปในการประชุม COP21 ในปี 2015 ณ กรุงปารีสก่อน ในขณะนั้นนานาประเทศได้ตกลงที่จะร่วมมือกันคงระดับการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิโลกไม่ให้สูงขึ้นเกิน 2 องศาเซลเซียส เมื่อเทียบกับระดับก่อนยุคอุตสาหกรรม โดยตั้งเป้าไว้ที่ 1.5 องศาเซลเซียส ซึ่งทำให้เกิดข้อตกลงปารีส (Paris Agreement) ขึ้น ภายใต้ข้อตกลงนี้ ประเทศทั่วโลกจะพยายามสร้างการมีส่วนร่วมที่ประเทศกำหนด (Nationally Determined Contributions: NDCs) ซึ่งเป็นแผนปฏิบัติการลดการปล่อยมลพิษระดับชาติ โดยทุก 5 ปี ประเทศต่างๆ จะต้องกลับมาด้วยแผนฉบับปรับปรุงใหม่ ดังนั้นการประชุม COP26 ครั้งนี้จึงมีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง เนื่องจากเป็นการครบรอบ 5 ปีเพื่อทบทวนเป้า NDCs จากรอบที่แล้วตั้งแต่ปี 2015 (เดิม COP26 มีกำหนดการประชุมในปี 2020 แต่ถูกเลื่อนออกไป 1 ปี เนื่องจากการระบาดของโควิด)
แม้การประชุม COP26 หรือการประชุมรัฐภาคีกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ สมัยที่ 26 ได้ปิดฉากลงแล้ว แต่เจตนารมณ์และพันธสัญญา รวมถึงคำมั่นที่นานาประเทศได้ประกาศไว้ ในเรื่องของการเปลี่ยนผ่านการใช้พลังงานจากเชื้อเพลิงฟอสซิลไปสู่พลังงานหมุนเวียน การรณรงค์และยุติการตัดไม้ทำลายป่า การหยุดและยกเลิกการอุดหนุนการสร้างโรงไฟฟ้าพลังงานถ่านหินและยุติการใช้ถ่านหิน รวมถึงการรณรงค์ลดการใช้พาหนะเครื่องยนต์สันดาปสู่รถยนต์ไฟฟ้า เพื่อร่วมลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและขจัดคาร์บอนในระดับโลกจะยังคงอยู่และเป็นประเด็นสำคัญระดับโลกต่อไป แม้ว่าประเทศต่างๆ จะมาพร้อมกับเป้าหมาย NDCs ใหม่ หรือยืนยันคำมั่นสัญญาที่มีอยู่แล้ว แต่รายละเอียดในหลายประเด็นก็ยังต้องรอติดตามการประกาศหรือต้องมีส่วนแก้ไขเพิ่มเติมในอนาคต ตัวอย่างเช่น ในด้านหนึ่ง ประเด็นการซื้อขายคาร์บอน (Carbon Trading) ซึ่งเป็นหนึ่งในประเด็นหารือตั้งแต่เริ่มข้อตกลงปารีสก็ยังไม่สามารถสรุปการเจรจาได้จนถึงตอนนี้ อย่างไรก็ดี ในอีกด้าน ความคืบหน้าในเรื่องคำมั่นและความพยายามในการยุติการใช้ถ่านหิน การยุติการจัดหาเงินทุนสำหรับโครงการถ่านหินและเชื้อเพลิงฟอสซิลจากทั้งประเทศที่พัฒนาแล้วและประเทศกำลังพัฒนาดูมีเป้าหมายที่ชัดเจนมากขึ้น และความมุ่งมั่นของหลายประเทศที่มีผืนป่าขนาดใหญ่ในการยุติการตัดไม้ รวมถึงเป้าหมายในการลดการปล่อยก๊าซมีเทน (ซึ่งเป็นก๊าซที่มีความเกี่ยวเนื่องและเป็นต้นเหตุในการเกิดสภาวะเรือนกระจกทั่วโลก) นั้นมีความสอดคล้องกันมากขึ้น
จากผลการประชุมเบื้องต้น เราจะพบว่าคำมั่นสัญญาด้านสภาพอากาศที่ประกาศใน COP26 สามารถช่วยจำกัดภาวะโลกร้อนหรือการเพิ่มขึ้นของระดับอุณหภูมิโลกไว้ที่ราว 1.5-1.8 องศาเซลเซียสได้ก่อนปี 2050 หากประเทศสมาชิกร่วมมือกันดำเนินการอย่างเต็มที่ และทั้ง 200 ประเทศจะประกาศแผนการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเบื้องต้นภายในปี 2030 รวมถึงต้องพิจารณาข้อตกลงเฉพาะเกี่ยวกับการเลิกใช้ถ่านหิน การเปลี่ยนไปใช้ยานพาหนะไฟฟ้า และการดำเนินการเพื่อปกป้องธรรมชาติมากขึ้น ซึ่งแต่ละประเทศจะต้องมีแรงผลักดันในการปรับแก้ไขแผน NDCs เพื่อบรรลุเป้าหมาย 1.5 องศาเซลเซียส คำถามถัดมาคือ ทำไมระดับ 1.5 องศาเซลเซียสถึงมีความสำคัญ คำตอบคือ หน่วยงานชั้นนำของโลกด้านวิทยาศาสตร์ภูมิอากาศ ได้ประเมินผลที่มีต่อโลกจากอุณหภูมิที่เพิ่มขึ้น 1.5 องศาเซลเซียสอย่างละเอียดพบว่า ความเสียหายที่เกิดจากอุณหภูมิที่เพิ่มขึ้น 1.5 องศาเซลเซียสนั้น แม้ยังคงส่งผลให้ระดับน้ำทะเลสูงขึ้น ยังก่อให้เกิดการเพิ่มขึ้นของคลื่นความร้อน ภัยแล้ง น้ำท่วมและพายุที่รุนแรง แต่ความเลวร้ายและผลกระทบจะน้อยกว่ากรณีปล่อยให้อุณหภูมิโลกเพิ่มขึ้นมากกว่า 1.5 องศาเซลเซียส และเพื่อให้นานาประเทศสามารถบรรลุเป้าหมายเบื้องต้นในการปล่อยคาร์บอนสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero Carbon Emission) ภายในปี 2050 ประเด็นความร่วมมือที่เห็นได้ชัดจากการประชุม COP26 มี 3 ประเด็นเบื้องต้น ดังนี้
จากบทสรุปและประเด็นสำคัญจากการประชุม COP26 ข้างต้น จะเห็นได้ว่า โอกาสการลงทุนจากเป้าหมาย Net Zero Carbon Emission นั้นเป็นประเด็นสำคัญและมีนัยแฝงให้คิดมากมาย มองผิวเผิน นักลงทุนอาจคิดถึงเพียงกระแสการลงทุนในธุรกิจพลังงานทดแทนเท่านั้น แต่แท้จริงแล้วยังมีอุตสาหกรรมและธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องมากมายที่กำลังได้รับประโยชน์อย่างมากจากการเปลี่ยนทิศทางการใช้พลังงานทั้งในระดับประเทศและระดับโลก ตัวอย่างโดยสังเขป เช่น
ตัวอย่างข้างต้นเป็นเพียงตัวอย่างอุตสาหกรรมและธุรกิจเกี่ยวเนื่องเบื้องต้นที่มีโอกาสเติบโตได้ต่อเนื่องในระยะข้างหน้า จากการผลักดันของนานาประเทศและทิศทางของอุตสาหกรรมพลังงานงานโลกที่เปลี่ยนแปลงไป ผมเชื่อว่ามีโอกาสในการลงทุนในวงกว้างทั่วทั้งห่วงโซ่อุปทานของอุตสาหกรรมต่างๆ ที่เกิดการเปลี่ยนแปลงจากกระแสการรักษ์โลก และการตระหนักถึงภาวะโลกร้อนและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่กำลังเป็นที่พูดถึงทั่วโลก ซึ่งโอกาสการลงทุนในหุ้นหรือตราสารหนี้ของบริษัทที่เกี่ยวเนื่องนั้นไม่จำกัดเพียงแค่กับบริษัทที่ผลิตสินค้าและบริการที่ก้าวไปสู่เป้าหมาย Net Zero Carbon Emission โดยตรงเท่านั้น แต่รวมไปถึงอุตสาหกรรมและบริษัทที่อำนวยการผลิตหรือให้บริการที่เกี่ยวเนื่องกับการอนุรักษ์โลกทางอ้อม หรือที่เรียกว่า Green Enabler ดังตัวอย่างข้างต้นด้วย
โดยบริษัทเหล่านี้ แม้ดูเหมือนจะอยู่ในอุตสาหกรรมที่ไม่เกี่ยวข้องกับการอนุรักษ์โลก เช่น อุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ ความปลอดภัยทางไซเบอร์ วัสดุก่อสร้าง ฯลฯ แต่ในอนาคตอาจจะสามารถกลายเป็นจุดสนใจมากขึ้นสำหรับนักลงทุนที่ทันสถานการณ์การเปลี่ยนแปลงของอุตสาหกรรมในช่วงหลายปีต่อจากนี้ โดยเฉพาะบริษัทที่มี Mandate ด้าน ESG และส่วนใหญ่เป็นบริษัทชั้นนำในยุโรปและสหรัฐฯ ซึ่งต่างเริ่มมีเป้าหมายที่ชัดเจนในการร่วมอนุรักษ์โลกและช่วยลดภาวะโลกร้อนแล้ว
สุดท้ายนี้ ผมเชื่อว่าตลาดการเงินโลกจะให้คุณค่าและให้ความสำคัญที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในบริษัทที่มีเป้าหมาย ESG และ Net Zero Carbon Emission ที่ชัดเจน กระแสการรักษ์โลกต่อจากนี้จะสามารถนำพาให้ทั้งนักลงทุน ESG และนักลงทุนที่ไม่ใช่ ESG หันมามองและให้ความสำคัญกับประเด็นนี้หรือไม่ ผมมองว่าการประชุม COP26 นี้เป็นแค่จุดเริ่มต้นที่ทำให้นักลงทุนต้องเริ่มตระหนัก แต่สิ่งที่สำคัญกว่า คือการเปลี่ยนแปลงของอุตสาหกรรมต่างๆ ทั่วโลกที่กำลังเกิดขึ้นจากกระแสการรักษ์โลกต่างหากที่เป็นประเด็นที่น่าติดตามเป็นอย่างยิ่งในระยะยาว
ข้อมูล ณ วันที่ 11 พฤศจิกายน 2564
บทความโดย ดร.ธนพล ศรีธัญพงศ์ ผู้จัดการฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน SCB Chief Investment Office
ขอบคุณข้อมูล : The Standard Wealth