ในแต่ละวันของการทำธุรกิจ ผู้ประกอบการรายเล็กอาจจะต้องเผชิญกับเรื่องต่างๆ มากมาย ตั้งแต่เรื่องเล็กๆ เช่น วัตถุดิบไม่พอ สภาพอากาศไม่เอื้ออำนวย ลูกค้าไม่เข้าร้าน จนไปถึงเรื่องใหญ่ๆ เช่น เจอคู่แข่งเปิดข้างๆ พฤติกรรมลูกค้าเปลี่ยนไป หรือแม้กระทั่งภัยพิบัติต่างๆ ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นความเสี่ยงที่อาจเข้ามากระทบต่ออการดำเนินกิจการของผู้ประกอบการได้ และบ่อยครั้งที่ความเสี่ยงเหล่านั้นอาจจะเป็นเรื่องที่เราไม่คาดคิดมาก่อนก็ได้

บทความนี้จะพาไปสำรวจ "ความท้าทาย" ของการทำธุรกิจที่อาจดูเป็นเรื่องเล็กๆ แต่ผู้ประกอบการรายเล็กสามารถพบเจอได้บ่อยครั้ง ไม่ว่าจะเป็นการขาดแคลนเงินทุน การจัดการทรัพยากรที่ไม่ดีพอ หรือการปรับตัวไม่ทันกับพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว ซึ่งความท้าทายเหล่านี้อาจจะกลายเป็นปัญหาใหญ่ตามมาได้ ถ้าผู้ประกอบการไม่เตรียมรับมือให้ดี

 ต้นทุนเพิ่ม ความเสี่ยงก็เพิ่ม 

ในโลกของผู้ประกอบการ ค่าใช้จ่ายที่ไม่ถูกควบคุมอย่างเหมาะสม อาจกลายเป็นอีกหนึ่งความท้าทาย และอาจจะกลายเป็นฝันร้ายสำหรับการดำเนินธุรกิจได้ การเพิ่มขึ้นของต้นทุน เช่น ค่าวัตถุดิบ ค่าขนส่ง และค่าพนักงาน เป็นปัจจัยที่อาจดูเล็กน้อยในช่วงแรก แต่หากสะสมไปเรื่อย ๆ อาจทำให้ธุรกิจเข้าสู่ภาวะหนี้เรื้อรัง ชักหน้าไม่ถึงหลัง หรืออาจทำให้เสียเครดิตทางการเงินได้ การจัดการต้นทุน และค่าใช้จ่ายอย่างเหมาะสม และสม่ำเสมอ จะช่วยให้ผู้ประกอบสามารถคาดการณ์รายจ่าย และวางแผนรับมือได้ทันท่วงที ทำให้ธุรกิจสามารถดำเนินต่อไปได้อย่างราบรื่น

ต้นทุนที่ไม่สามารถควบคุมได้เป็นเหมือนเงามืดที่ค่อยๆ กัดกร่อนธุรกิจ จนทำให้ผู้ประกอบการหลายรายต้องเผชิญกับความยากลำบากในการควบคุมค่าใช้จ่าย ไม่ว่าจะเป็นการปรับขึ้นของราคาของวัตถุดิบ การจัดส่งสินค้าที่มีต้นทุนเพิ่ม หรือการปรับขึ้นของค่าแรงขั้นต่ำ หากไม่มีการจัดการอย่างมีประสิทธิภาพ ต้นทุนเหล่านี้จะสะสมจนทำให้ธุรกิจประสบกับปัญหากำไรที่ลดลง และก่อตัวจนกลายเป็นภาระ ที่กระทบต่อสภาพคล่องและเงินทุนหมุนเวียนได้

แม้ค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นในแต่ละวันเป็นปัจจัยที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่เราสามารถหาวิธีจัดการและควบคุมการเงินให้มีประสิทธิภาพได้ ดังนี้

1. ตรวจสอบค่าใช้จ่ายอย่างสม่ำเสมอ: การทำตารางรายรับรายจ่ายรายเดือน จะช่วยให้ผู้ประกอบการเห็นภาพรวมของต้นทุนที่อาจเพิ่มขึ้นโดยไม่ทันรู้ตัว และสามารถเตรียมเงินสดไว้ล่วงหน้าในช่วงที่มีรายรับน้อย
2. วางแผนการเงินอย่างรอบคอบ: การมีแผนการเงินที่ชัดเจน รวมถึงแผนสำรองสำหรับเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิด หรือในช่วงที่รายได้ไม่คงที่ การเตรียมสินเชื่อฉุกเฉิน จะช่วยให้ธุรกิจสามารถดำเนินต่อได้ในช่วงเวลาวิกฤต
3. กระตุ้นให้ลูกค้าจ่ายเงินเร็วขึ้น: การเสนอส่วนลด หรือดีลพิเศษให้กับลูกค้าที่จ่ายเงินเร็ว ช่วยให้ธุรกิจมีเงินเข้ามาในระบบเร็วขึ้น ลดความเสี่ยงการขาดเงินสด และทำให้การหมุนเวียนเงินในธุรกิจราบรื่นยิ่งขึ้น
4. ลดต้นทุนที่ไม่จำเป็น: พิจารณาลดค่าใช้จ่ายที่ไม่ส่งผลโดยตรงต่อการสร้างรายได้ เช่น การลดการสต๊อกสินค้าที่เกินความจำเป็น หรือการลดค่าบริการที่ไม่สำคัญ
5. หาสินเชื่อระยะสั้นในกรณีฉุกเฉิน: ในบางกรณีที่ธุรกิจมีค่าใช้จ่ายฉุกเฉินเร่งด่วน ไม่สามารถจัดการได้ทัน ผู้ประกอบการสามารถใช้สินเชื่อระยะสั้นในการหมุนเวียนเงินสดชั่วคราว เพื่อป้องกันปัญหาการขาดแคลนเงินสดได้ เช่น ต้องจ่ายค่าวัตถุดิบในทันที แต่ยังไม่ได้รับเงินจากลูกค้าที่ค้างชำระ การใช้สินเชื่อระยะสั้นจะช่วยให้ผู้ประกอบการสามารถจ่ายเงินและดำเนินการต่อได้โดยธุรกิจไม่หยุดชะงัก และเมื่อได้รับเงินจากลูกค้าแล้ว ก็สามารถนำไปชำระคืนสินเชื่อได้
6. ใช้เทคโนโลยีช่วยจัดการการเงิน: การนำเทคโนโลยีมาช่วยในการติดตามและจัดการค่าใช้จ่าย เป็นวิธีที่ช่วยให้ธุรกิจสามารถมองเห็นค่าใช้จ่ายที่แท้จริงได้อย่างแม่นยำ ช่วยลดความผิดพลาดจากการกรอกข้อมูลด้วยมือ และยังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานอีกด้วย

ปัญหาจากการจัดการเงิน อาจเป็นเหมือนฝันร้ายสำหรับผู้ประกอบการ แต่ด้วยการวางแผนที่ดี รู้จักใช้เครื่องมือในการจัดการต้นทุนอย่างเหมาะสม และเข้าถึงสินเชื่อเมื่อจำเป็น จะช่วยปิดความเสี่ยงให้ธุรกิจได้ เมื่อปัญหาต่างๆ คลี่คลาย ก็จะไม่กลายเป็นฝันร้ายสำหรับธุรกิจอีกต่อไป

เงินทุน(ไม่)หมุนเวียน!

สำหรับผู้ประกอบการ หนึ่งในความท้าทายที่น่ากลัวคงหนีไม่พ้นเรื่องการจัดการเงินทุน การต้องคอยวิ่งหาแหล่งเงินทุนเพื่อให้ธุรกิจไม่สะดุด หรือหยุดชะงัก เปรียบเสมือนฝันร้ายที่คอยหลอกหลอนทุกคืนวัน ให้ต้องผวาตื่นกลางดึกอยู่บ่อยครั้ง

อย่างไรก็ตาม การเข้าถึงเงินทุนสำหรับธุรกิจขนาดเล็กอาจไม่ง่ายนัก ปัญหาหลักคือการไม่มีหลักประกันที่เพียงพอ ธนาคารและสถาบันการเงินต้องการหลักประกันที่มีมูลค่าสูงพอที่จะใช้ป้องกันความเสี่ยงจากการปล่อยสินเชื่อ แต่ธุรกิจขนาดเล็กหลายแห่งอาจไม่มีทรัพย์สินที่เหมาะสมในการใช้ค้ำประกัน นอกจากนี้ ธุรกิจที่เพิ่งเริ่มต้นหรือยังไม่มีการจัดการการเงินที่ชัดเจน อาจทำให้ธนาคารหรือนักลงทุนไม่มั่นใจ เนื่องจากไม่สามารถวิเคราะห์ความสามารถในการชำระหนี้ได้ เช่น ธุรกิจร้านกาแฟเปิดใหม่ แม้จะอยากขยายร้าน หรือลงทุนเพิ่ม ก็อาจจะเจอปัญหาการเข้าถึงแหล่งเงินทุน เนื่องจากไม่มีทรัพย์สินที่จะใช้ค้ำประกันสินเชื่อจากธนาคารได้

รวมถึงธนาคารมองว่าธุรกิจขนาดเล็กความเสี่ยงสูงกว่า เช่น ถ้าตลาดเปลี่ยนแปลง หรือธุรกิจเจอปัญหา อาจจะปรับตัวไม่ทัน ต่างจากธุรกิจใหญ่ที่มีทรัพยากรและเงินทุนมากกว่า อีกปัญหาหนึ่งที่ธุรกิจขนาดเล็กมักพบคือการขาดแผนธุรกิจที่ชัดเจน ผู้ให้กู้และนักลงทุนต้องการเห็นแผนธุรกิจที่แสดงถึงวิธีการใช้เงินทุนและวิธีที่ธุรกิจจะสร้างผลตอบแทน หากธุรกิจไม่สามารถนำเสนอแผนเหล่านี้ได้ ก็ยากที่จะได้รับการสนับสนุน สุดท้าย แม้ว่าผู้ประกอบการจะสามารถหาแหล่งเงินทุนได้ แต่เงื่อนไขของการกู้ยืม เช่น ดอกเบี้ยสูง หรือ ระยะเวลาชำระคืนที่สั้น อาจทำให้ธุรกิจรับภาระไม่ไหว

การเตรียมตัวให้พร้อมและมีแผนธุรกิจที่ชัดเจน จะช่วยเพิ่มโอกาสในการได้รับการสนับสนุนจากสถาบันการเงินหรือแหล่งทุนต่าง ๆ และนี่คือเคล็ดลับการเพิ่มโอกาสให้ธุรกิจ:

1. เตรียมแผนธุรกิจที่ครอบคลุม: แผนธุรกิจที่ชัดเจนและน่าเชื่อถือจะช่วยให้สถาบันการเงิน หรือผู้ให้กู้เข้าใจถึงเป้าหมายและศักยภาพของธุรกิจของคุณ ทำให้พวกเขาเชื่อมั่นในการลงทุนหรือให้สินเชื่อ
2. รักษาประวัติการเงินให้ดี: ธนาคารและนักลงทุนมักให้ความสำคัญกับประวัติทางการเงินของธุรกิจ การรักษาบัญชีและการรายงานทางการเงินที่ชัดเจน จะช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือและโอกาสในการได้รับเงินทุนมากขึ้น
3. หาพันธมิตรธุรกิจ: การมีพันธมิตรทางธุรกิจที่แข็งแกร่ง เช่น คู่ค้าหรือซัพพลายเออร์ที่มีชื่อเสียง สามารถสร้างความน่าเชื่อถือให้กับธุรกิจของคุณได้
4. เลือกสินเชื่อที่เหมาะกับวัตถุประสงค์: การเลือกสินเชื่อที่เหมาะกับธุรกิจและตรงตามเป้าหมายเป็นสิ่งสำคัญ เช่น หากต้องการขยายกิจการระยะยาว การขอสินเชื่อที่มีระยะเวลาชำระคืนที่ยาวขึ้นอาจจะเหมาะกว่า หรือหากต้องการเงินทุนหมุนเวียนในระยะสั้น สินเชื่อระยะสั้นจะเหมาะสมมากกว่า การเลือกสินเชื่อที่ตรงกับวัตถุประสงค์จะช่วยให้ธุรกิจสามารถชำระคืนได้โดยไม่ต้องกังวลกับภาระดอกเบี้ยที่มากเกินไป

ในโลกธุรกิจที่เต็มไปด้วยความไม่แน่นอน การจัดการเงินทุนไม่ใช่เรื่องที่ง่าย แต่ด้วยการวางแผนที่ดี การใช้เครื่องมือที่เหมาะสม และการเข้าถึงแหล่งเงินทุนที่ถูกต้อง SMEs จะสามารถก้าวผ่านฝันร้ายนี้ได้อย่างมีทิศทาง และพร้อมรับมือความท้าทายใหม่ๆ ได้อย่างมั่นใจ

คลื่นดิจิทัลกำลังมา

ในยุคดิจิทัลที่เทคโนโลยีเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว การปรับตัวเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้สำหรับธุรกิจ ไม่ว่าคุณจะเป็นเจ้าของธุรกิจขนาดใหญ่หรือขนาดเล็ก การก้าวไม่ทันความเปลี่ยนแปลง อาจทำให้คุณถูกทิ้งไว้ข้างหลัง เหมือนธุรกิจที่ขาดการเตรียมพร้อม อาจถูก “คลื่นดิจิทัล” ถาโถมจนเสียโอกาสทางธุรกิจ และสูญเสียลูกค้าไปในที่สุด

การปรับตัวสู่โลกดิจิทัลไม่ใช่ทางเลือก แต่เป็นทางรอดที่จำเป็น

โลกดิจิทัลได้กลายเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันของผู้บริโภค ไม่ว่าจะเป็นการค้นหาข้อมูล การช้อปปิ้ง หรือแม้กระทั่งการทำธุรกรรมต่าง ๆ ธุรกิจที่ไม่ปรับตัวใช้เทคโนโลยีดิจิทัลในการดำเนินงาน มีความเสี่ยงสูงที่จะถูกกลืนกินโดยคู่แข่งที่พร้อมกว่า ไม่ว่าจะเป็นการที่ลูกค้าเลือกซื้อสินค้าผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์หรือการคาดหวังประสบการณ์การซื้อที่สะดวก รวดเร็ว และตอบโจทย์เฉพาะบุคคล

ภัยที่มากับคลื่นดิจิทัล

หากคุณไม่ปรับตัวให้เข้ากับโลกดิจิทัล ผลกระทบที่ตามมาจะไม่ใช่แค่ยอดขายที่ลดลง แต่ยังรวมถึงการขาดความน่าเชื่อถือในสายตาของลูกค้าด้วย ลูกค้าในยุคนี้ไม่ได้มองหาสินค้าหรือบริการที่ดีเท่านั้น แต่พวกเขายังคาดหวังประสบการณ์ที่ไร้รอยต่อ ตั้งแต่การค้นหาข้อมูล การชำระเงินที่สะดวกสบาย จนถึงการจัดส่งสินค้าที่รวดเร็ว หากธุรกิจของคุณไม่สามารถมอบประสบการณ์เหล่านี้ได้ ลูกค้าก็จะเปลี่ยนไปใช้บริการจากคู่แข่งแทน

ขุมพลังแห่งข้อมูล: สร้างประสบการณ์ที่เหนือกว่า

ข้อมูลลูกค้าเป็นหนึ่งในปัจจัยที่สำคัญในการพัฒนาและปรับปรุงธุรกิจ ธุรกิจที่สามารถรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อเข้าใจพฤติกรรมของลูกค้าและปรับตัวได้อย่างเหมาะสม จะสามารถสร้างประสบการณ์การซื้อที่ตอบโจทย์ได้ดีกว่า ไม่ว่าจะเป็น การใช้ข้อมูลเพื่อติดตามพฤติกรรมการซื้อ การวิเคราะห์แนวโน้ม และการเสนอสินค้าที่ตรงใจ ช่วยเพิ่มโอกาสในการสร้างความภักดีและเพิ่มยอดขาย เช่น การใช้ข้อมูลลูกค้าเพื่อมอบข้อเสนอพิเศษที่ตรงกับความสนใจของลูกค้าแต่ละคน การส่งคูปองส่วนลดในเดือนเกิด หรือการแนะนำสินค้าที่ตรงตามความต้องการเฉพาะบุคคล

เพื่อให้ธุรกิจสามารถอยู่รอดและเติบโตได้ในโลกดิจิทัล การนำเทคโนโลยีมาใช้เป็นสิ่งจำเป็น ไม่ว่าจะเป็นการพัฒนาระบบชำระเงินที่รวดเร็ว ปลอดภัย หรือการใช้แพลตฟอร์มออนไลน์เพื่อขยายช่องทางการขาย การใช้ระบบ CRM (Customer Relationship Management) เพื่อบริหารจัดการความสัมพันธ์กับลูกค้า หรือการใช้ AI และ Big Data เพื่อวิเคราะห์ข้อมูลและทำนายแนวโน้มพฤติกรรมของลูกค้า

การปรับตัวสู่ยุคดิจิทัลไม่ใช่เพียงการนำเทคโนโลยีมาใช้ แต่คือการปรับแนวคิดและกระบวนการทำธุรกิจให้ตอบสนองต่อพฤติกรรมของลูกค้าที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว การวางแผนที่ชัดเจนและการทำงานอย่างยืดหยุ่นจะช่วยให้ธุรกิจของคุณอยู่รอดได้

ภัยร้ายจากไซเบอร์

ในยุคดิจิทัลที่ทุกธุรกิจต้องพึ่งพาเทคโนโลยีเป็นหลัก ภัยคุกคามทางไซเบอร์กลายเป็นหนึ่งในปัญหาที่ธุรกิจทุกขนาดไม่สามารถมองข้ามได้ แม้เทคโนโลยีจะช่วยให้การทำธุรกิจสะดวกและมีประสิทธิภาพมากขึ้น แต่ก็มีด้านมืดจากมิจฉาชีพที่ต้องระวังเป็นพิเศษ—ภัยร้ายไซเบอร์สามารถสร้างความเสียหายให้ธุรกิจได้ในพริบตา

ความเสี่ยงที่แฝงตัวอยู่ในโลกไซเบอร์

การโจมตีทางไซเบอร์เกิดขึ้นได้หลากหลายรูปแบบ เช่น การแฮกระบบ การโจรกรรมข้อมูล การสูญเสียข้อมูลสำคัญทางการเงิน ข้อมูลธุรกิจ รวมถึงข้อมูลลูกค้า หรือแม้กระทั่งการโจมตีแบบ Ransomware ที่ทำให้ระบบถูกล็อกเพื่อเรียกค่าไถ่ การถูกแฮกหรือการขโมยข้อมูลไม่เพียงแต่ทำให้ธุรกิจสูญเสียทรัพยากรสำคัญ แต่ยังทำให้เสียความเชื่อมั่นจากลูกค้าอีกด้วย

การรักษาความปลอดภัยทางไซเบอร์จึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง การเข้ารหัสข้อมูล เป็นขั้นตอนพื้นฐานที่ช่วยป้องกันการเข้าถึงข้อมูลสำคัญโดยไม่ได้รับอนุญาต การสำรองข้อมูล เป็นประจำ ช่วยให้ธุรกิจสามารถกู้คืนข้อมูลได้หากเกิดเหตุไม่คาดฝันอีกทั้ง การอัปเดตระบบและซอฟต์แวร์ อย่างสม่ำเสมอเป็นสิ่งที่จำเป็น ธุรกิจที่ไม่อัปเดตซอฟต์แวร์อย่างต่อเนื่อง มีความเสี่ยงสูงต่อการถูกโจมตีผ่านช่องโหว่ที่ยังไม่ได้รับการแก้ไข นอกจากนี้ การฝึกอบรมพนักงาน ให้มีความรู้เกี่ยวกับความปลอดภัยไซเบอร์ เช่น การระวังการคลิกลิงก์ที่น่าสงสัย การตั้งรหัสผ่านที่ปลอดภัย จะช่วยลดความเสี่ยงจากการถูกโจมตีและทำให้ธุรกิจปลอดภัยมากขึ้นในโลกดิจิทัล

แม้การใช้เทคโนโลยีและการตลาดออนไลน์จะเปิดโอกาสใหม่ ๆ ให้กับธุรกิจขนาดเล็ก แต่ความสำเร็จในการใช้งานช่องทางเหล่านี้ต้องอาศัยการลงทุนใน ความรู้ และ ทักษะ ที่จำเป็น การไม่เตรียมตัวรับมือกับความเสี่ยงทางไซเบอร์อาจทำให้ธุรกิจของคุณตกอยู่ในอันตราย และอาจสูญเสียทรัพยากรที่สำคัญได้ ธุรกิจที่มีความพร้อมและระบบความปลอดภัยทางไซเบอร์ที่ดี จะสามารถลดความเสี่ยงและรักษาความเชื่อมั่นจากลูกค้าได้ดีกว่า

ลูกค้าเปลี่ยนไป… ธุรกิจต้องเปลี่ยนตาม

ในยุคดิจิทัลที่ทุกสิ่งเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว พฤติกรรมของผู้บริโภคก็เปลี่ยนไปเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นความคาดหวังในการบริการ การมีช่องทางการซื้อขายที่หลากหลาย การตัดสินใจซื้อ หรือการเปลี่ยนใจที่ทำได้รวดเร็วขึ้น เป็นสิ่งที่ผู้ประกอบการต้องเผชิญในโลกธุรกิจ หากปรับตัวช้า ไม่ทันต่อการเปลี่ยนแปลง ลูกค้าก็พร้อมจะเปลี่ยนใจไปหาทางเลือกอื่นที่ดีกว่าได้ตลอดเวลา เพราะทุกวันนี้ คู่แข่งไม่ได้จำกัดอยู่แค่ในธุรกิจแบบเดียวกันเท่านั้น แต่เป็นใครก็ได้ที่สามารถมอบประสบการณ์ที่ตอบโจทย์ความต้องการที่ซ่อนอยู่ของลูกค้าได้ดีกว่า และการจะรู้ความต้องการของลูกค้าได้ก็ต้องอาศัยข้อมูล และการสังเกตควบคู่กันไป

พฤติกรรมที่เปลี่ยนไปของผู้บริโภค

ในอดีต ลูกค้าอาจตัดสินใจซื้อสินค้าเพียงเพราะโฆษณาหรือคำแนะนำจากคนรอบข้าง แต่ในปัจจุบัน การเลือกซื้อสินค้าหรือบริการมีความซับซ้อนมากขึ้น ลูกค้ามีทางเลือกมากมายบนโลกออนไลน์ พวกเขาสามารถเปรียบเทียบราคา รีวิวสินค้า และค้นหาข้อมูลได้ง่ายดายเพียงปลายนิ้ว การที่ลูกค้าเปลี่ยนใจจากสินค้าแบรนด์หนึ่งไปสู่อีกแบรนด์หนึ่งจึงเป็นเรื่องง่ายกว่าที่เคย เช่น ลูกค้าที่เคยภักดีต่อแบรนด์หนึ่งอาจเปลี่ยนไปซื้อสินค้าจากอีกแบรนด์เพียงเห็นการรีวิวที่ดีในโซเชียลมีเดีย หรือเจอโปรโมชันที่ดีกว่าในแอปช้อปปิ้งออนไลน์ ผู้ประกอบการที่ยังคงพึ่งพาช่องทางการขายแบบดั้งเดิมอาจพลาดโอกาสในการเข้าถึงลูกค้าใหม่ ๆ และเสียส่วนแบ่งทางการตลาดให้กับธุรกิจที่พร้อมให้บริการผ่านช่องทางออนไลน์

ความต้องการสินค้าที่ตอบโจทย์เฉพาะบุคคล

หนึ่งในพฤติกรรมที่เปลี่ยนไปอย่างชัดเจนคือความต้องการสินค้าที่ตอบโจทย์ความชอบ หรือไลฟ์สไตล์เฉพาะบุคคล ลูกค้าในยุคนี้คาดหวังว่าธุรกิจจะเข้าใจความต้องการของพวกเขาอย่างลึกซึ้ง และนำเสนอสินค้า บริการ หรือข้อเสนอที่ตรงใจมากที่สุด การไม่ปรับตัวในเรื่องนี้อาจทำให้ธุรกิจเสียลูกค้าได้โดยง่าย

ผู้ประกอบการต้องเรียนรู้การใช้ข้อมูลลูกค้า เพื่อนำเสนอประสบการณ์ที่เป็นเฉพาะบุคคลมากขึ้น เช่น การแนะนำสินค้าที่เหมาะสมกับลูกค้าแต่ละคน การใช้ข้อมูลเพื่อติดตามพฤติกรรมการซื้อ การส่งโปรโมชันที่ตรงกับความต้องการในแต่ละช่วงจังหวะชีวิต การนำเทคโนโลยีมาช่วยวิเคราะห์ข้อมูลเหล่านี้จะทำให้ธุรกิจสามารถปรับตัวเข้ากับพฤติกรรมผู้บริโภคได้ดียิ่งขึ้น

เน้นความสะดวกและรวดเร็ว

ในยุคที่หลาย ๆ อย่างทำได้ง่ายเพียงปลายนิ้ว การที่ธุรกิจไม่สามารถตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคได้ทันเวลาอาจกลายเป็น "ฝันร้าย" สำหรับเจ้าของกิจการ ผู้บริโภคยุคดิจิทัลไม่ชอบการรอคอย แต่คาดหวังประสบการณ์การที่รวดเร็ว และสะดวกสบาย หากธุรกิจไม่สามารถมอบประสบการณ์ที่ไร้รอยต่อได้ อาจต้องติดกับดักความคิดแบบเดิม ๆ จนถูกทิ้งไว้ข้างหลัง

การใช้เทคโนโลยีเพื่อพัฒนาระบบการชำระเงินออนไลน์ที่ ปลอดภัย และ รวดเร็ว อาจเรียกไว้ว่า เป็นสิ่งจำเป็นพื้นฐานในยุคนี้ไปแล้วก็ได้ ไม่ว่าจะเป็นการรับคำสั่งซื้อแบบอัตโนมัติ การชำระเงินผ่านมือถือ และการจัดส่งที่รวดเร็วภายในวันเดียว หากธุรกิจของคุณสามารถสร้างประสบการณ์ที่ตอบสนองลูกค้าได้ทันที ย่อมมีโอกาสสูงที่จะได้รับความนิยมและความภักดีจากลูกค้ามากขึ้น

นอกจากนี้ การใช้ Chatbot เพื่อตอบคำถามลูกค้าทันที ก็เหมือนมี "คอลเซ็นเตอร์ดูแล 24 ชั่วโมง" ช่วยให้ลูกค้าได้รับคำตอบที่รวดเร็ว ทันใจ และรู้สึกถึงความใส่ใจได้เป็นอย่างดี

การสัมผัสกลายเป็นอดีต

การระบาดของโควิด-19 ทำให้พฤติกรรมของผู้บริโภคเปลี่ยนไป การใช้บริการแบบไร้สัมผัส (Contactless Services) กลายเป็นความคาดหวังใหม่ ไม่ว่าจะเป็นการชำระเงินผ่านมือถือ การส่งสินค้าที่ไม่ต้องเจอหน้ากัน หรือการรับบริการโดยไม่มีการสัมผัสระหว่างลูกค้าและผู้ขาย การเปลี่ยนแปลงนี้หากธุรกิจไม่ปรับตัวตาม อาจต้องเผชิญกับ "ฝันร้าย" จากการเสียลูกค้าไปให้คนอื่น

การนำระบบชำระเงินออนไลน์ที่ปลอดภัยและสะดวกมาใช้ เช่น การชำระเงินผ่าน QR Code หรือการชำระเงินผ่านแอปพลิเคชัน กลายเป็นสิ่งจำเป็น ผู้ประกอบการที่ไม่พร้อมกับการเปลี่ยนแปลงนี้อาจรู้สึกเหมือนถูก "คลื่นดิจิทัล" ถาโถมใส่ ขณะที่ธุรกิจที่ปรับตัวและพัฒนาระบบจัดส่งสินค้าที่ลดการสัมผัสโดยตรงได้ดีกว่า จะได้การตอบรับจากลูกค้า การสร้างประสบการณ์ที่สะดวก รวดเร็ว และปลอดภัย ช่วยปลดปล่อยธุรกิจจากเงามืด และสร้างความมั่นใจให้กับลูกค้าในยุคไร้สัมผัสนี้

ยั่งยืน หรือ หยิบหย่ง

ในยุคที่ความยั่งยืนกลายเป็นสิ่งที่ผู้บริโภคยุคใหม่ให้ความสำคัญมากขึ้น ลูกค้าไม่ได้มองหาสินค้าที่มีคุณภาพเพียงอย่างเดียว แต่ยังคาดหวังว่าแบรนด์จะมี ความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม และสังคม ด้วย ไม่ว่าจะเป็นการใช้วัตถุดิบที่ปลอดภัย การเลือกบรรจุภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อธรรมชาติ หรือการสนับสนุนสินค้าที่ผลิตอย่างมีจริยธรรม สำหรับผู้ประกอบการ หากไม่รู้จักปรับตัว ปรับกระบวนการ ให้มุ่งไปสู่การอยู่รอดในวันนี้ และความยั่งยืนในวันข้างหน้า อาจต้องเผชิญกับ “ความท้าทาย” ในระยะยาว

การไม่สามารถตอบสนองต่อความคาดหวังที่เปลี่ยนไปของผู้บริโภคเสี่ยงต่อการสูญเสียภาพลักษณ์ และโอกาสในการเติบโตอย่างที่คุณคิดไม่ถึง แต่การปรับตัวที่มองไปถึงการเติบโตที่ดีต่อลูกค้า ดีต่อสังคม เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และได้กลับมาที่ธุรกิจ จะสามารถอยู่อย่างยั่งยืนได้อย่างแท้จริง

อย่าปล่อยให้ธุรกิจเสี่ยงต่อการล้มหายตายจากไป เพราะยังย่ำอยู่กับที่ หรือยึดติดกับความสำเร็จเดิมๆ รีบปรับตัวให้ทันกับโลกดิจิทัล และให้ความสำคัญกับการเติบโตอย่างยั่งยืนตั้งแต่วันนี้ แล้วธุรกิจของคุณ จะสามารถก้าวข้ามอุปสรรคได้อย่างมั่นคง

**********************************************************************************

รู้จักมณีทันใจ สินเชื่อเงินก้อนเพื่อธุรกิจ เพิ่มเติม >> https://link.scb/3SRlAHF

กดขอ #สินเชื่อมณีทันใจ ได้เองที่ #SCBEASY

กดสมัครเลย (เฉพาะบนมือถือเท่านั้น) >> https://link.scb/2G5PRAr

#กู้เท่าที่จำเป็นและชำระคืนไหว

*อัตราดอกเบี้ย MRR+10% - MRR+16% ต่อปี (MRR ตามประกาศ ณ วันที่ 1 พ.ย. 67 = 7.175% ต่อปี) ทั้งนี้ อัตราดอกเบี้ยลอยตัวสามารถเปลี่ยนแปลงเพิ่มขึ้นหรือลดลงได้ตามประกาศบนเว็บไซต์ของธนาคาร *เงื่อนไขการอนุมัติสินเชื่อเป็นไปตามที่ธนาคารกำหนด