วางโมเดลธุรกิจ จัดการวิกฤตด้วย 3F

ปฏิเสธไม่ได้ว่า วิกฤต COVID-19 ส่งผลกระทบอย่างมากต่อโลก และด้วยสถานการณ์ปัจจุบันก็ยังไม่สามารถคาดเดาได้ว่าจะจบลงอย่างไร ท่ามกลางความไม่แน่นอน ไม่ชัดเจน และไม่รู้ว่าเมื่อไรผู้บริโภคจะรู้สึกปลอดภัยพอที่จะกลับมาใช้ชีวิตตามปกติได้ ทำให้การคาดการณ์การกลับมาของเศรษฐกิจยังคงคลุมเคลือ


อย่างไรก็ตาม การหยุดนิ่งของภาคธุรกิจเพื่อรอความชัดเจนนั้นไม่ใช่ทางเลือกที่ถูกต้อง ในทางกลับกัน    จากการวิเคราะห์ของ Boston Consulting Group พบว่าในช่วงวิกฤตซับไพรม์ (ปี 2551 – 2552) กลุ่มธุรกิจที่ดำเนินการปรับเปลี่ยนเพื่อรับมือกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในทันที มีผลประกอบการที่ดีกว่ากลุ่มบริษัทที่มาเริ่มเปลี่ยนแปลงเมื่อภาวะเศรษฐกิจถดถอยเต็มที่


การวางโมเดลธุรกิจโดยอาศัยการแบ่งภาวะวิกฤตออกเป็น 3 ช่วงเวลา คือ Flatten, Fight และ Future หรือ 3F จะช่วยวางแผนการจัดการที่เหมาะสม โดยจะเปรียบเทียบวิกฤต COVID-19 และการวางแผนในแต่ละช่วงเวลาเพื่อให้เห็นภาพชัดเจนขึ้น

1. Flatten ช่วงระยะเวลาที่ไวรัส COVID-19 เริ่มระบาดไปในพื้นที่ต่างๆ

และไม่สามารถควบคุมได้ มีการล็อคดาวน์และการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินในประเทศ ประมาณ 2 - 3 เดือน เพื่อควบคุมการแพร่ระบาดให้ได้ ในช่วงเวลานี้ เจ้าของธุรกิจจะต้องตอบสนองต่อวิกฤตอย่างทันท่วงที


โดยตรวจสอบว่าวิกฤตส่งผลกระทบในด้านใดบ้าง เช่น ต้องปิดกิจการชั่วคราว รายได้ลดลง เกิดภาวะว่างงาน หรือภาวะเศรษฐกิจถดถอย จากนั้นควรเช็กสภาพคล่องของกระแสเงินสด ลดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น และอาจต้องขอความร่วมมือกับพนักงานให้มาทำงานน้อยลงและขอลดเงินเดือนบางส่วนเพื่อหลีกเลี่ยงการเลิกจ้าง


นอกจากนี้ ควรเจรจาต่อรองกับเจ้าหนี้ เจ้าของที่หรือหน่วยงานของรัฐ เพื่อชะลอการจ่ายเงิน การชำระหนี้ หรือการเสียภาษี เพื่อช่วยลดความตึงเครียดในเรื่องค่าใช้จ่ายลง และสิ่งที่สำคัญที่สุดของช่วงเวลานี้ คือ การตั้งทีมงานเพื่อพัฒนาแผนการรับมือและการเตรียมความพร้อมเพื่อเข้าสู่ช่วง Fight

2. Fight ช่วงเวลาที่ควบคุมการระบาดของไวรัส COVID-19 ได้ในระดับหนึ่ง

แต่ยังไม่สามารถผลิตวัคซีน หรือหยุดการระบาดได้โดยสิ้นเชิง เป็นช่วงเวลาที่มีมาตรการเริ่มผ่อนปรน และกิจการการค้าเริ่มกลับมาเปิดเป็นปกติ


ในช่วงนี้เจ้าของธุรกิจจะต้องนำแผนการที่เตรียมไว้มาประยุกต์ใช้ โดยต้องประเมินความเสี่ยงเป็นระยะๆ เพราะสถานการณ์ยังไม่เข้าสู่ภาวะปกติ การวางแผนธุรกิจในระยะสั้นไปจนถึงระยะยาว รวมทั้งการวางแผนสำรองเพื่อรับมือกับสถานการณ์ที่ไม่คาดฝันเป็นเรื่องจำเป็นอย่างยิ่ง การฟื้นธุรกิจและการสร้างรายได้ในช่วงนี้จะต้องปรับกลยุทธ์เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับผู้บริโภคเป็นหลัก ที่สำคัญคือ การป้องกันตนเอง พนักงาน ลูกค้า และคนรอบตัวจากการติดเชื้อด้วยการปฏิบัติตามคำแนะนำจากหน่วยงานสาธารณสุขอย่างเคร่งครัดเพื่อไม่ให้เกิดการแพร่ระบาดใหม่ ช่วง Fight นี้จะกินระยะเวลาตั้งแต่ 12 เดือน และอาจยาวนานถึง 36 เดือน ถ้าไม่สามารถควบคุมการระบาดได้

3 . Future ช่วงระยะเวลาที่ค้นพบวิธีรักษาหรือคิดค้นวัคซีนสำเร็จ

และไม่มีการแพร่ระบาดอีกต่อไป ซึ่งคาดการณ์ไว้ภายในปีหน้า ในช่วงเวลานี้ ทั้งเจ้าของธุรกิจและผู้บริโภคสามารถปรับตัวและใช้ชีวิตแบบปกติใหม่ได้แล้ว และจะเกิดการขยายตัวทางเศรษฐกิจในวงกว้าง หากเจ้าของกิจการได้เตรียมความพร้อมมาอย่างดีตั้งแต่ช่วง Flatten และสามารถจัดการกับสถานการณ์ที่ไม่แน่นอน พร้อมทั้งวางแผนธุรกิจอย่างครอบคลุมในช่วง Fight ก็จะเป็นเวลาที่เหมาะสมในการนำกลยุทธ์มาพัฒนาธุรกิจให้เติบโตต่อไปในช่วง Future


การวางแผนธุรกิจเพื่อรองรับความปกติใหม่ การศึกษาพฤติกรรมผู้บริโภคอย่างจริงจัง การนำเทคโนโลยีที่ทันสมัยมาใช้ และการพัฒนาธุรกิจอย่างต่อเนื่อง คือยุทธวิธีที่ช่วยสร้างรายได้และผลกำไรอย่างยั่งยืน


อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าสถานการณ์จะกลับไปเป็นปกติหรือดีขึ้นแค่ไหน เจ้าของธุรกิจจะต้องเตรียมความพร้อมเพื่อรับมือกับความไม่แน่อนไว้เสมอ เพราะไม่มีใครสามารถคาดเดาได้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นในอนาคต การวางโมเดลธุรกิจเพื่อรับมือกับวิกฤตด้วย 3F เป็นอีกวิธีหนึ่งในการจัดการกับวิกฤตอย่างเป็นขั้นเป็นตอน และช่วยให้หาวิธีรับมือกับแต่ละช่วงเวลาได้อย่างเหมาะสม โดยมีจุดประสงค์หลักเพื่อให้ธุรกิจอยู่รอดและดำเนินต่อไปได้ไม่ว่าในสถานการณ์ใดก็ตาม