ทำอย่างไร เมื่อเราหลงกลให้ข้อมูลส่วนตัวกับมิจฉาชีพไป (Phishing)
การหลอกลวงเพื่อโจรกรรมข้อมูลส่วนตัว หรือที่เรียกกันว่า ฟิชชิ่ง (Phishing) ในปัจจุบันมีเทคนิคและรูปแบบในการหลอกลวงที่แนบเนียนมากขึ้น ทั้งเว็บไซต์ปลอมหลอกให้ลงทะเบียน, SMS ปลอมยืนยันข้อมูลส่วนตัว เป็นต้น ซึ่งหากไม่สังเกตให้ดี พอรู้ตัวอีกทีเราก็อาจจะส่งข้อมูลของเราให้กับมิจฉาชีพไปหมดแล้วก็เป็นได้ คำถามต่อไปที่จะผุดขึ้นในใจของเราก็คือ “แล้วเราจะมีความเสี่ยงอะไรบ้าง?” และ “แล้วเราต้องแก้ไขอย่างไร?” วันนี้ Stories & Tips สรุปประเด็นสำคัญมาเล่าให้ฟัง ไปดูกันเลย
ผลเสียหายที่อาจเกิดขึ้น
1. เงินหายไปจากบัญชี
เมื่อเราถูกฟิชชิ่งข้อมูล ชื่อผู้ใช้ (Username) , รหัสผ่าน (Password) หรือ รหัส OTP มิจฉาชีพจะนำไปทำธุรกรรมทางออนไลน์ โอนเงินออกจากบัญชีของเราไปยังบัญชีของมิจฉาชีพได้
2.ถูกนำข้อมูลบัตรไปลงทะเบียนซื้อของออนไลน์
เมื่อเราถูกฟิชชิ่งข้อมูลบัตรเครดิต/เดบิต ทั้งหมายเลขหน้าบัตร วันที่บัตรหมดอายุ (Exp.) และเลข CVV หลังบัตร มิจฉาชีพจะนำบัตรเราไปลงทะเบียนซื้อของออนไลน์ ทำให้เหยื่อเป็นหนี้โดยไม่รู้ตัวได้
3. สร้างบัญชีปลอม ไปทำธุรกรรมอื่น ๆ
เมื่อเราถูกฟิชชิ่งข้อมูลส่วนบุคคลไป มิจฉาชีพอาจนำข้อมูลเราไปสร้างบัญชีปลอม ทำธุรกรรมหรือสมัครสินเชื่อต่าง ๆ โดยที่เหยื่อไม่รู้ตัวได้
ข้อควรปฏิบัติเมื่อรู้ตัวว่าให้ข้อมูลกับมิจฉาชีพไปแล้ว
1. เปลี่ยนรหัสผ่านใหม่ ทั้งหมด
หากมีการใช้ชื่อผู้ใช้ (User) หรือ รหัสผ่าน (Password) เดียวกันในระบบอื่น ๆ ก็ควรเปลี่ยน รหัสผ่าน (Password) ให้ครบทุกระบบ เพื่อป้องกันความเสี่ยง โดยมีเทคนิคการตั้งรหัสผ่านใหม่ง่ายๆ 2 ข้อดังนี้
2.ระงับการใช้บัตรเดบิต / บัตรเครดิต (กรณีให้ข้อมูลบัตรไป)
โดยสามารถอายัดชั่วคราวได้ด้วยตัวเองบน SCB Easy App
3. ติดต่อ SCB Customer Center ที่เบอร์ 02-777-7777
ติดต่อเจ้าหน้าเพื่อขอคำแนะนำ และขอความช่วยเหลือ รวมถึงตรวจสอบความเสียหายให้กับผู้ประสบปัญหาอาชญากรรมทางการเงิน
4. รวบรวมหลักฐานแจ้งความที่สถานีตำรวจ
ให้รวบรวมหลักฐานแจ้งความที่สถานีตำรวจ ตามคำแนะนำของ Call Center โดยเร็วที่สุด เพื่อระงับความเสียหายที่เกิดขึ้น โดยมีเทคนิคการแจ้งความดังต่อไปนี้
5. ส่งเอกสารหมายเรียกพยานเอกสารให้ธนาคาร
เมื่อได้รับหมายเรียกพยานเอกสารเรียบร้อยแล้ว ขอให้รีบส่งเอกสารโดยเร็วที่สุด