ผลการค้นหา "{{keyword}}" ไม่ปรากฎแต่อย่างใด
การใช้และการจัดการคุกกี้
ธนาคารมีการใช้เทคโนโลยี เช่น คุกกี้ (cookies) และเทคโนโลยีที่คล้ายคลึงกันบนเว็บไซต์ของธนาคาร เพื่อสร้างประสบการณ์การใช้งานเว็บไซต์ของท่านให้ดียิ่งขึ้น โปรดอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมที่ นโยบายการใช้คุกกี้ของธนาคาร
12-11-2568
ต่อเนื่องจากบทความที่แล้ว “อสังหาริมทรัพย์กับผู้เยาว์ สิทธิ และข้อจำกัดทางกฎหมายที่พ่อแม่ควรเข้าใจ” ที่ท่านได้ทราบหลักการทางกฎหมายเบื้องต้นของการให้อสังหาริมทรัพย์ เช่น ที่ดิน บ้าน คอนโด แก่บุตรไปแล้ว ซึ่งในความเป็นจริงคุณพ่อคุณแม่ก็อาจจะมีการให้อย่างอื่นที่นอกเหนือจากอสังหาริมทรัพย์แก่บุตร เช่น เงินสด รถยนต์ ทองคำ/เครื่องประดับ สิ่งของเหล่านี้เรียกว่า “สังหาริมทรัพย์” เมื่อให้ไปแล้วจะมีเรื่องภาษีการรับให้ด้วยหรือไม่ เรามาติดตามกันนะครับ
ตามหลักกฎหมาย สังหาริมทรัพย์ จะหมายถึงทรัพย์สินที่สามารถเคลื่อนที่ได้ เช่น เงินสด รถยนต์ ทองคำ เครื่องประดับ ภาพวาด พระเครื่อง หลักทรัพย์ เป็นต้น จะเห็นได้ว่าสังหาริมทรัพย์นั้นครอบคลุมทรัพย์สินอยู่หลากหลายประเภท ซึ่งทางครอบครัวก็อาจจะมีการทยอยส่งต่อทรัพย์สินที่เป็นสังหาริมทรัพย์ให้แก่บุตรหลานในระหว่างที่ตัวเองยังมีชีวิตอยู่ ในเรื่องนี้ก็จะมีภาษีการรับให้ที่กำหนดให้ “ผู้รับ” สังหาริมทรัพย์เป็นผู้เสียภาษีการรับให้ โดยสรุปได้ 3 กรณี ดังนี้
1. การให้โดยบุพการี เช่น คุณพ่อ คุณแม่ คุณปู่ คุณย่า คุณตา คุณยาย ให้สังหาริมทรัพย์แก่ผู้สืบสันดาน เช่น ลูก หลาน เหลน
การให้ในกรณีนี้จะดูที่ความสัมพันธ์ระหว่างผู้ให้และผู้รับ โดยผู้รับที่เป็นผู้สืบสันดานจะต้องเสียภาษีในส่วนที่เกิน 20 ล้านบาทต่อปีภาษี โดยเสียภาษีจากส่วนที่เกิน 20 ล้านบาทในอัตรา 5%
ยกตัวอย่าง ในปี 2568 คุณพ่อได้ยกหุ้นในบริษัทของครอบครัวให้แก่ นาย ก. มูลค่า 10 ล้านบาท คุณแม่ได้ให้เงินแก่ นาย ก. จำนวน 10 ล้านบาท คุณปู่ได้ให้ทองคำแก่ นาย ก. มูลค่า 5 ล้านบาท
ปี 2568 นาย ก. ได้รับ
นาย ก. ต้องเสียภาษี = 5% × (25 - 20) ล้าน = 250,000 บาท
ในกรณีตัวอย่างนี้ นาย ก. ที่เป็นผู้สืบสันดานได้รับสังหาริมทรัพย์ในปี 2568 รวมทั้งสิ้น 25 ล้านบาท นาย ก. ที่เป็น “ผู้รับ” สังหาริมทรัพย์จะต้องเสียภาษีการรับให้จากส่วนที่เกิน 20 ล้านบาท ในอัตรา 5% ดังนั้น นาย ก. จะต้องเสียภาษีเท่ากับ 250,000 บาท โดยคำนวณจาก 5% ของ 5 ล้านบาท
2. การให้ตามหน้าที่ธรรมจรรยาหรือการให้โดยเสน่หาเนื่องในพิธีหรือตามโอกาสแห่งขนบธรรมเนียมประเพณี
สำหรับกรณีนี้กฎหมายจะไม่ได้ดูความสัมพันธ์ระหว่างผู้ให้และผู้รับเหมือนอย่างกรณีที่ 1 แต่จะดูจากสาเหตุแห่งการให้ ถ้าเป็นการให้ตามหน้าที่ธรรมจรรยา หรือการให้โดยเสน่หาเนื่องในพิธีหรือตามโอกาสแห่งขนบธรรมเนียมประเพณี ผู้รับสังหาริมทรัพย์จะมีหน้าที่ต้องเสียภาษีการรับให้ในส่วนที่เกิน 10 ล้านบาทต่อปีภาษี โดยเสียภาษีจากส่วนที่เกิน 10 ล้านบาทในอัตรา 5%
ยกตัวอย่าง ในงานแต่งงานของ นาย ก. คุณลุงคุณป้า ได้ให้เงิน 6 ล้านบาท คุณอาได้ให้เงินอีก 5 ล้านบาท ในตัวอย่างนี้ นาย ก. ได้รับเงินที่เป็นสังหาริมทรัพย์รวมทั้งสิ้น 11 ล้านบาท
งานแต่งงาน นาย ก. ได้รับ
นาย ก. ต้องเสียภาษี = 5% × (11 - 10) ล้าน = 50,000 บาท
นาย ก. ที่เป็น “ผู้รับ” จะต้องเสียภาษีการรับให้จากส่วนที่เกิน 10 ล้านบาท ในอัตรา 5% ดังนั้น นาย ก. จะต้องเสียภาษีเท่ากับ 50,000 บาท โดยคำนวณจาก 5% ของ 1 ล้านบาท
3. กรณีอื่น
หากไม่เข้ากรณีที่ 1 หรือ กรณีที่ 2 “ผู้รับ” สังหาริมทรัพย์จะมีหน้าที่ต้องนำมารวมคำนวณกับเงินได้อื่นเพื่อเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาในอัตราก้าวหน้า 5% - 35%
บทความโดย : ดร.นิติ เนื่องจำนงค์ ผู้อำนวยการอาวุโส Wealth Planning and Family Office
ลูกค้า SCB PRIVATE BANKING ที่สนใจในเรื่องบริหารสินทรัพย์ครอบครัวเพื่อส่งต่อความมั่งคั่งจากรุ่นสู่รุ่น สามารถติดต่อ Wealth Planning and Family Office Division ของธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) ได้ที่อีเมล [email protected] หรือที่ปรึกษาด้านการเงินและการลงทุน (RM) ของท่าน