5 ภัยออนไลน์ที่คนไทยถูกหลอกมากที่สุด: วิธีรับมือและกรณีศึกษาจริง

ในยุคดิจิทัลที่การใช้อินเทอร์เน็ตและแพลตฟอร์มออนไลน์เป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวัน อาชญากรรมไซเบอร์ก็เพิ่มขึ้นตามไปด้วย ข้อมูลจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติระบุว่า ประเทศไทยสูญเสียเงินจากการหลอกลวงทางไซเบอร์กว่า 60,000 ล้านบาทในปี 2567 เพียงปีเดียว ซึ่งตัวเลขนี้เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องทุกปี 

รายงานจาก Gogolook Thailand เผยว่า ในปี 2567 มีการโทรศัพท์และส่งข้อความเพื่อหลอกลวงมากถึง 168 ล้านครั้ง ซึ่งสูงที่สุดในรอบ 5 ปี โดยคนไทยถึง 41% มีข้อมูลส่วนตัวรั่วไหลไปอยู่ใน dark web และ deep web

มาดูกันว่า 5 ภัยออนไลน์ที่คนไทยถูกหลอกมากที่สุดมีอะไรบ้าง (ข้อมูลจากเว็บไซต์กองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ณ วันที่ 13 พ.ค.68)  พร้อมกับกรณีศึกษาจริงและวิธีป้องกันตัวเอง

1. หลอกลวงซื้อขายสินค้า/บริการที่ไม่มีลักษณะเป็นขบวนการ (57% ของคดีทั้งหมด)

รูปแบบการหลอกลวง

ภัยออนไลน์ประเภทนี้มีสัดส่วนมากที่สุดถึง 57% ของการหลอกลวงทั้งหมด มิจฉาชีพจะทำการสร้างโปรไฟล์ปลอมบนแพลตฟอร์มซื้อขายออนไลน์หรือโซเชียลมีเดีย เสนอขายสินค้าหรือบริการที่มีราคาถูกผิดปกติ หรือสินค้าที่กำลังเป็นที่นิยม เมื่อผู้ซื้อโอนเงินไปแล้ว ผู้ขายจะหายตัวไปพร้อมกับเงิน หรือส่งสินค้าปลอมหรือคุณภาพต่ำมาให้แทน

กรณีศึกษาจริง

ในเดือนมิถุนายน 2567 มีรายงานกรณีการหลอกขายกล้องรุ่นใหม่ราคาถูกผ่านเพจเฟซบุ๊กปลอม โดยมีผู้เสียหายกว่า 200 ราย สูญเงินรวมกันมากกว่า 5 ล้านบาท มิจฉาชีพใช้วิธีสร้างเพจที่มีหน้าตาเหมือนร้านค้าจริง ใช้รูปภาพจากเว็บไซต์ทางการ และมีการรีวิวปลอมจำนวนมาก เมื่อลูกค้าสนใจและโอนเงินไปแล้ว จะถูกบล็อกและไม่สามารถติดต่อกลับได้อีก

กรณีที่น่าสนใจอีกกรณีหนึ่งคือ การปลอมเป็นผู้ให้บริการส่งอาหารชื่อดัง สร้างโปรโมชั่นส่วนลดพิเศษผ่านทางไลน์และเฟซบุ๊ก เมื่อผู้เสียหายคลิกลิงก์เพื่อรับส่วนลด กลับถูกนำไปยังเว็บไซต์ปลอมที่ขโมยข้อมูลบัตรเครดิตและข้อมูลส่วนตัว ซึ่งถูกนำไปใช้ซื้อสินค้าออนไลน์ในภายหลัง

วิธีป้องกัน

  1. ตรวจสอบความน่าเชื่อถือของผู้ขายก่อนการสั่งซื้อ โดยดูจากประวัติการขาย รีวิวจากลูกค้าจริง
  2. หลีกเลี่ยงการซื้อสินค้าที่มีราคาถูกผิดปกติ
  3. ใช้บริการแพลตฟอร์มที่มีระบบคุ้มครองผู้ซื้อ 
  4. ไม่คลิกลิงก์จากแหล่งที่ไม่น่าเชื่อถือ
  5. ให้ระวังเพจปลอมที่มีชื่อคล้ายเพจทางการ
  6. ใช้แอปพลิเคชันเช็คลิงก์ปลอม เช่น "Web Checker" จาก Whoscall

2. หลอกให้โอนเงิน เช่น เพื่อรับรางวัล จองสิทธิพิเศษ (13% ของคดีทั้งหมด)

รูปแบบการหลอกลวง

ภัยประเภทนี้คิดเป็น 13% ของการหลอกลวงทั้งหมด มิจฉาชีพจะติดต่อผู้เสียหายผ่านทางโทรศัพท์ อีเมล หรือข้อความ แจ้งว่าได้รับรางวัล หรือสิทธิพิเศษ แต่ต้องโอนเงินค่าธรรมเนียมหรือภาษีก่อน บางครั้งอาจอ้างว่าเป็นโครงการของรัฐบาล เช่น โครงการกระเป๋าเงินดิจิทัล เพื่อให้ผู้เสียหายหลงเชื่อและโอนเงิน

กรณีศึกษาจริง

ในเดือนตุลาคม 2567 มีการจับกุมแก๊งมิจฉาชีพ 8 คนที่หลอกลวงผ่านเพจเฟซบุ๊กปลอม โดยอ้างว่าเป็นการซื้อขายหุ้นออนไลน์ มูลค่าความเสียหายกว่า 2,000 ล้านบาท ตำรวจยึดทรัพย์มูลค่า 80 ล้านบาท รวมทั้งบ้านหรูและรถยนต์ราคาแพง มิจฉาชีพเหล่านี้ล่อลวงเหยื่อด้วยเพจเฟซบุ๊กปลอมที่สัญญาว่าจะให้ผลตอบแทนสูงจากการซื้อขายหุ้น

อีกกรณีที่พบบ่อยในช่วงปี 2567 คือการหลอกลวงเกี่ยวกับโครงการกระเป๋าเงินดิจิทัลของรัฐบาล ซึ่งมีการสวมรอยเป็นหน่วยงานราชการ ส่งข้อความหลอกให้ประชาชนคลิกลิงก์ปลอมเพื่อรับเงิน 10,000 บาท ผู้ที่หลงเชื่อและกรอกข้อมูลส่วนตัวและข้อมูลบัญชีธนาคาร จะถูกมิจฉาชีพโจรกรรมเงินในบัญชีในภายหลัง

วิธีป้องกัน

  1. อย่าหลงเชื่อข้อเสนอที่ดูดีเกินจริง โดยเฉพาะการได้รับรางวัลที่ไม่ได้ร่วมกิจกรรม
  2. ไม่โอนเงินเพื่อรับรางวัลหรือสิทธิพิเศษใดๆ
  3. ตรวจสอบความถูกต้องของโครงการรัฐบาลจากเว็บไซต์ทางการเท่านั้น
  4. ไม่คลิกลิงก์หรือดาวน์โหลดเอกสารจากแหล่งที่ไม่น่าเชื่อถือ
  5. ปรึกษาหน่วยงานที่เกี่ยวข้องโดยตรงหากมีข้อสงสัย
  6. ให้ความรู้แก่ผู้สูงอายุในครอบครัวเกี่ยวกับภัยหลอกลวงประเภทนี้


3. หลอกให้ทำงานพิเศษแต่ต้องโอนค่าสมัครมาก่อน (11% ของคดีทั้งหมด)

รูปแบบการหลอกลวง

ภัยประเภทนี้คิดเป็น 11% ของการหลอกลวงทั้งหมด มิจฉาชีพจะหลอกล่อด้วยงานพิเศษที่ได้เงินง่าย เช่น งานรีวิวสินค้า งานแชร์โพสต์ หรืองานคลิกโฆษณา แต่ผู้สมัครต้องจ่ายเงินค่าสมัครหรือค่ามัดจำก่อน บางกรณีผู้เสียหายอาจได้รับเงินจริงในช่วงแรกเพื่อสร้างความเชื่อมั่น แต่เมื่อเริ่มลงทุนเงินมากขึ้นก็จะถูกหลอกและไม่สามารถถอนเงินได้

กรณีศึกษาจริง

กรมการจัดหางานเปิดเผยว่าในปีงบประมาณ 2567 (ตุลาคม 2566 - กันยายน 2567) มีการดำเนินคดีกับนายหน้าเถื่อน 452 ราย พบผู้เสียหาย 608 คน มูลค่าความเสียหายรวมกว่า 44 ล้านบาท และในไตรมาสแรกของปีงบประมาณ 2568 (ตุลาคม - ธันวาคม 2567) มีการดำเนินคดีอีก 59 ราย พบผู้เสียหาย 53 คน มูลค่าความเสียหายกว่า 6 ล้านบาท

อีกกรณีหนึ่งที่พบบ่อยคือการหลอกให้ทำงานรีวิวสินค้าออนไลน์ โดยมิจฉาชีพจะติดต่อผ่านแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียและเสนองานรีวิวที่ได้ค่าตอบแทนสูง หลังจากทำงานจริงและได้รับเงินเล็กน้อยในช่วงแรก ผู้เสียหายจะถูกชักชวนให้ลงทุนเพิ่มเพื่อรับงานที่ให้ผลตอบแทนสูงขึ้น แต่เมื่อลงทุนไปแล้วกลับพบว่าไม่สามารถถอนเงินได้และถูกบล็อกการติดต่อ

วิธีป้องกัน

  1. ระวังข้อเสนองานที่ให้รายได้สูงเกินจริงสำหรับงานง่ายๆ
  2. ไม่จ่ายเงินค่าสมัครงานหรือค่ามัดจำใดๆ ก่อนเริ่มทำงาน
  3. ตรวจสอบความน่าเชื่อถือของบริษัทหรือผู้ว่าจ้าง
  4. ระวังการติดต่อผ่านแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียโดยไม่มีการสัมภาษณ์อย่างเป็นทางการ
  5. หากต้องการทำงานต่างประเทศ ให้ตรวจสอบกับกรมการจัดหางานก่อนเสมอ
  6. ไม่เปิดเผยข้อมูลส่วนตัว เช่น สำเนาบัตรประชาชน หรือข้อมูลบัญชีธนาคาร โดยไม่จำเป็น


4. หลอกให้กู้เงิน เรียกเก็บค่าธรรมเนียมล่วงหน้า (7% ของคดีทั้งหมด)

รูปแบบการหลอกลวง

ภัยประเภทนี้คิดเป็น 7% ของการหลอกลวงทั้งหมด มิจฉาชีพจะเสนอให้กู้เงินด่วน ในอัตราดอกเบี้ยต่ำ โดยไม่ต้องมีหลักทรัพย์ค้ำประกัน หรือแม้แต่ผู้ที่มีประวัติเครดิตไม่ดีก็สามารถกู้ได้ แต่ผู้กู้ต้องจ่ายค่าธรรมเนียมล่วงหน้า เช่น ค่าตรวจสอบเครดิต ค่าประกัน หรือค่าธรรมเนียมการโอนเงิน เมื่อโอนเงินไปแล้ว มิจฉาชีพจะหายตัวไปหรืออ้างเหตุต่างๆ เพื่อให้โอนเงินเพิ่ม

กรณีศึกษาจริง

ในเดือนสิงหาคม 2567 ตำรวจไซเบอร์จับกุมแก๊งมิจฉาชีพที่หลอกลวงให้คนไทยกู้เงินออนไลน์ โดยเรียกเก็บค่าธรรมเนียมล่วงหน้า มีผู้เสียหายกว่า 500 ราย สูญเงินรวมกว่า 10 ล้านบาท แก๊งนี้ใช้วิธีโฆษณาผ่านโซเชียลมีเดีย โดยอ้างว่าเป็นสถาบันการเงินที่ให้กู้ในอัตราดอกเบี้ยต่ำ ไม่ต้องมีหลักทรัพย์ค้ำประกัน และอนุมัติเร็ว

รายงานของ Whoscall ในปี 2567 ระบุว่าการพนันและเงินกู้เป็นประเภทของการหลอกลวงทาง SMS ที่พบบ่อยที่สุดในประเทศไทย โดยมิจฉาชีพมักใช้ช่องโหว่ของระบบเศรษฐกิจ เช่น การเข้าถึงสินเชื่อที่ยากของคนบางกลุ่ม หรือสภาวะเศรษฐกิจที่ทำให้คนต้องการเงินด่วน เป็นช่องทางในการหลอกลวง

วิธีป้องกัน

  1. ไม่จ่ายค่าธรรมเนียมใดๆ ก่อนได้รับเงินกู้
  2. ตรวจสอบความน่าเชื่อถือของสถาบันการเงินผ่านเว็บไซต์ทางการของธนาคารแห่งประเทศไทย
  3. ระวังข้อเสนอเงินกู้ที่อนุมัติง่ายเกินไปโดยไม่ตรวจสอบประวัติเครดิต
  4. ศึกษาและใช้บริการสินเชื่อจากสถาบันการเงินที่ได้รับอนุญาตเท่านั้น
  5. ตรวจสอบรายชื่อผู้ให้บริการสินเชื่อที่ได้รับอนุญาตได้ที่ app.bot.or.th/BotLicenseCheck
  6. หากต้องการกู้เงิน ให้ติดต่อสถาบันการเงินโดยตรงผ่านช่องทางที่เป็นทางการ

5. หลอกให้ลงทุน แอบอ้างคนดังหรือองค์กรมีชื่อเสียง (6% ของคดีทั้งหมด)

รูปแบบการหลอกลวง

ภัยประเภทนี้คิดเป็น 6% ของการหลอกลวงทั้งหมด แต่มักสร้างความเสียหายทางการเงินมากที่สุด มิจฉาชีพจะสร้างโปรไฟล์ปลอมของบุคคลมีชื่อเสียงหรืออ้างว่าเป็นองค์กรที่น่าเชื่อถือ เพื่อชักชวนให้ลงทุนในธุรกิจหรือโครงการที่ให้ผลตอบแทนสูง เช่น หุ้น ทองคำ อสังหาริมทรัพย์ หรือสกุลเงินดิจิทัล โดยผู้เสียหายอาจจะได้รับผลตอบแทนจริงในช่วงแรกเพื่อสร้างความเชื่อมั่น แต่เมื่อลงทุนเงินก้อนใหญ่แล้ว มิจฉาชีพจะหายตัวไปพร้อมเงินลงทุน

กรณีศึกษาจริง

รายงานจาก Siam Legal International เผยว่า ในครึ่งแรกของปี 2567 มีการโฆษณาลงทุนปลอมบนเฟซบุ๊กกว่า 29,000 รายการ กลุ่ม WhatsApp ที่หลอกลวงมากกว่า 81,000 กลุ่ม และบัญชี X (อดีต Twitter) มากกว่า 80,000 บัญชีที่แอบอ้างเป็นสถาบันการเงิน ประเทศไทยเป็นหนึ่งในเป้าหมายหลักของการหลอกลวงเหล่านี้

กรณีที่น่าสนใจอีกกรณีหนึ่งเกิดขึ้นในประเทศไทย เมื่อนักธุรกิจชาวมาเลเซียสูญเงิน 564,354 ริงกิตมาเลเซีย (ประมาณ 4.5 ล้านบาท) หลังจากถูกหลอกโดยมิจฉาชีพที่แอบอ้างเป็นเจ้าหน้าที่บังคับใช้กฎหมาย ซึ่งอ้างว่ากำลังสืบสวนพัสดุปลอมที่เชื่อมโยงกับสิ่งผิดกฎหมาย มิจฉาชีพรายหนึ่งที่อ้างตัวว่าเป็น 'Datuk Loo' ทำให้นักธุรกิจรายนี้โอนเงิน 3 ครั้งไปยังบัญชีที่ลงทะเบียนในชื่อ 'SAA Cool Empire'

วิธีป้องกัน

  1. ตรวจสอบความน่าเชื่อถือของบริษัทหรือองค์กรที่เสนอการลงทุน
  2. ระวังข้อเสนอการลงทุนที่ให้ผลตอบแทนสูงเกินจริง
  3. ไม่โอนเงินให้กับบุคคลหรือองค์กรที่ไม่รู้จักหรือไม่สามารถตรวจสอบได้
  4. ตรวจสอบการลงทุนกับสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ที่ market.sec.or.th/LicenseCheck/Search
  5. ให้ความสำคัญกับการลงทุนระยะยาวและกระจายความเสี่ยง
  6. ปรึกษาที่ปรึกษาทางการเงินที่ได้รับอนุญาตก่อนตัดสินใจลงทุน

 

(ลูกค้า SCB พบเหตุมิจฉาชีพหลอกโอนเงิน โทรแจ้งได้ที่ 02-777-7575 ตลอด 24 ชั่วโมง)