ต่อยอดความมั่งคั่ง
แนวทางลงทุนต่างประเทศ ฉบับประหยัดภาษีเงินได้
Use and Management of Cookies
We use cookies and other similar technologies on our website to enhance your browsing experience. For more information, please visit our Cookies Notice.
สรุป ‘ภาษีขายหุ้น’ เก็บอย่างไร เสียเท่าไหร่ และใครได้รับผลกระทบบ้าง?
สำหรับสายลงทุนหุ้นที่มีการติดตามข่าวสารในช่วงที่ผ่านมา เชื่อว่าหลายๆ คนคงจะเห็นข่าวการเตรียมเก็บภาษีขายหุ้นตั้งแต่ปี 2565 จากกระทรวงการคลังและตลาดหลักทรัพย์ หลังจากที่ได้รับการยกเว้นมาเป็นระยะเวลานับ 30 ปี ซึ่งแม้ว่าในรัฐบาลชุดปัจจุบันจะยังไม่มีการหยิบยกนโยบายนี้มาใช้ แต่สายหุ้นก็ยังต้องทำความเข้าใจในภาษีประเภทนี้เพื่อเตรียมพร้อมรับมือในวันข้างหน้า แล้วภาษีประเภทนี้คืออะไร ต้องทำความเข้าใจเรื่องไหนบ้าง เราจะมาสรุปจบในบทความนี้กัน
ทำความเข้าใจกับ “ภาษีขายหุ้น”
ภาษีขายหุ้น หรือ Financial Transaction Tax คือ ภาษีธุรกิจเฉพาะที่เกิดขึ้นจากการขายหลักทรัพย์หรือหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งประเทศไทยเคยมีการจัดเก็บภาษีขายหุ้นนี้ก่อนที่จะงดเว้นการเก็บไป แต่อย่างไรก็ตาม ก่อนที่เราจะรู้เงื่อนไขและนโยบายต่างๆ ของการจัดเก็บภาษีขายหุ้น ก็ควรที่จะรู้ที่มาและข้อมูลของการจัดเก็บในอดีตกันไว้ก่อน
ที่มาของภาษีขายหุ้น
ภาษีขายหุ้นนั้นมีที่มาจากการที่กระทรวงการคลังพยายามลดความเหลื่อมล้ำของการกระจายรายได้ และเพิ่มความเป็นธรรมในด้านการจัดเก็บภาษี ที่เพิ่มเติมมาจากการเก็บภาษีเงินได้ที่เราคุ้นเคยกัน ซึ่งการจัดเก็บภาษีขายหุ้นจะเป็นการใช้โอกาสในการพัฒนาประเทศจากความเข้มแข็ง ของตลาดหลักทรัพย์ประเทศไทย
ปัจจุบันนี้ตลาดหลักทรัพย์ได้เติบโตขึ้นค่อนข้างมากจนทำให้มีการนำเรื่องของการจัดเก็บภาษีขายหุ้นนี้กลับมาพิจารณาอีกครั้ง จากรัฐบาลชุดเก่าที่เล็งเก็บภาษีขายหุ้นในเดือนเมษายน 2566 แต่ก็ยังไม่มีการบังคับจัดเก็บภาษีหุ้นอย่างเป็นทางการ อย่างไรก็ตามในบทความล่าสุดของ SET (The Stock Exchange of Thailand) หรือตลาดหลักทรัพย์ไทยจากเลขาธิการสมาคมส่งเสริมผู้ลงทุนไทย ก็ได้มีการพูดถึงภาษีนี้และยืนยันว่ารัฐบาลสมัยนี้ยังไม่มีการเก็บภาษีขายหุ้นแต่อย่างใด
ถ้ามีการเก็บภาษีขายหุ้น จะมีวิธีคิดอย่างไร
สำหรับภาษีขายหุ้นในอดีตที่ได้มีการจัดเก็บจริงๆ นั้น ก็ใช้วิธีการคำนวณโดยคิดจากธุรกรรมที่เกิดขึ้นจริงจากการขายหุ้นตั้งแต่หน่วยแรก ประกอบด้วยภาษีธุรกิจเฉพาะในอัตรา 0.1% และรวมกับภาษีท้องถิ่นอีก 10% ของภาษีธุรกิจเฉพาะ ทำให้ต้องเสียภาษีรวม ในอัตรา 0.11%
เช่น หากเราขายหุ้นมูลค่า 100,000 บาท ก็จะต้องเสียภาษีขายหุ้นทั้งหมด 100,000 x 0.11% = 110 บาท แต่ปีแรกที่กฎหมายมีผลบังคับ ผู้ขายหุ้นจะได้รับส่วนลดภาษี 50% หรือสามารถจำได้แบบง่ายๆ ว่า หากเราขายหุ้น 1,000,000 บาท ปีแรกก็จะถูกจัดเก็บภาษีในอัตรา 0.055% คิดเป็นจำนวนเงิน 550 บาท หรือ “ล้านละ 500 บาท” ส่วนปีต่อๆ ไปก็จะถูกจัดเก็บภาษีที่อัตรา 0.11% คิดเป็นจำนวนเงิน 1,100 บาท หรือ “ล้านละ 1,100 บาท” นั่นเอง
เสียภาษีขายหุ้นอย่างไร
แล้วเราจะต้องเสียภาษีขายหุ้นอย่างไร? ต้องเก็บรวบรวมเอกสารการซื้อขายเองและต้องยื่นเสียภาษีในส่วนนี้ด้วยตัวเองหรือไม่? สำหรับส่วนนี้เราก็สามารถลดความกังวลได้เพราะตามนโยบายมีการกำหนดให้โบรกเกอร์ (Broker) แต่ละที่เป็นผู้ที่ทำการหักภาษีขายหุ้นจากนักลงทุนได้ทันที และสามารถยื่นเสียภาษีแทนผู้ขายหุ้นได้ โดยที่ผู้ขายหุ้นไม่จำเป็นต้องทำการยื่นแบบภาษีในระบบด้วยตัวเอง
ต้นทุน 0.22% ต่อธุรกรรมแพงไปหรือไม่? ต่างประเทศจัดเก็บภาษีขายหุ้นกันอย่างไร
หากลองเปรียบเทียบต้นทุนที่เพิ่มขึ้นกับตลาดหลักทรัพย์อื่นๆ ที่มีลักษณะใกล้เคียงและเป็นคู่แข่งของประเทศไทยนั้น เราจะพบว่าแต่ละประเทศมีการจัดเก็บภาษีที่แตกต่างกัน อย่างเช่น
โดยจะเห็นได้ว่าอัตราการจัดเก็บภาษีขายหุ้นของไทยก็ยังต่ำกว่าทั้งมาเลเซียกับฮ่องกงและยังอยู่ในระดับที่แข่งขันได้ แต่ทั้งนี้ก็ควรมองตัวอย่างของประเทศที่ถือเป็นศูนย์กลางทางการเงินอันดับ 3 ของโลก รองจากนิวยอร์ก และลอนดอน อย่างประเทศสิงคโปร์ที่มีการจัดเก็บในอัตราที่ต่ำกว่าไทย และจัดเก็บเพียงธุรกรรมที่มีการโอนหรือขายหลักทรัพย์บนกระดาษโดยแมนนวล (Manual) เท่านั้น ซึ่งทำให้ผู้ลงทุนได้รับประโยชน์และจูงใจนักลงทุนมากมาย
ใครบ้างที่ต้องเสีย และไม่ต้องเสียภาษีขายหุ้น
สำหรับผู้ที่ต้องเสียภาษีขายหุ้นนั้นก็คือ “ทุกๆ คนที่ทำการขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์” แต่ก็มีการยกเว้นในคนบางกลุ่มที่ไม่ต้องเสียภาษีขายหุ้น ซึ่งคนกลุ่มนี้จะเป็นกลุ่มผู้ขายหลักทรัพย์ในตลาดหลักทรัพย์ฯ และหน่วยงานอีกหลายส่วน ได้แก่
ดังนั้นจึงสามารถสรุปได้ว่า กลุ่มผู้ที่ได้รับการยกเว้นให้ไม่ต้องเสียภาษีขายหุ้น จะเป็นผู้ที่มีบทบาทหน้าที่ในการดูแลสภาพคล่องในตลาดหลักทรัพย์ ทั้งในระดับบุคคลและบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนที่จัดตั้งกองทุนรวมต่างๆ รวมถึงกองทุนต่างที่เกี่ยวข้องกับหลักประกันสวัสดิการของคนไทย
เพราะอะไร ไทยจึงเลือกจัดเก็บภาษีจากธุรกรรมการขาย ไม่ใช่กำไรจากการขาย
อีกหนึ่งประเด็นร้อนของบรรดานักลงทุนที่ตั้งข้อสงสัยต่อการเก็บภาษีหุ้นก็คือ “เพราะอะไร ถึงเลือกที่จะเก็บภาษีจากธุรกรรมการขาย ไม่จัดเก็บจากกำไรในการขาย” เพราะถ้ากระทรวงการคลังต้องการที่จะลดความเหลื่อมล้ำให้ประชาชนได้รับประโยชน์ ก็ไม่ควรจะเก็บภาษีจากธุรกรรมการขาย (Financial Transaction Tax) แล้วมาเก็บภาษีจากกำไรที่ได้จากการขายหุ้นแทน (Capital Gain Tax) เพราะไม่ใช่นักลงทุนทุกคนที่จะได้รับกำไรจากการขาย หากมีการขาดทุนเกิดขึ้น ก็ส่งผลให้นักลงทุนยิ่งแบกรับภาระจากค่าธรรมเนียมและภาษีที่สูงขึ้นไปอีก
ซึ่งเรื่องนี้กระทรวงการคลังได้มีการวิเคราะห์การจัดเก็บภาษีธุรกิจเฉพาะจากการขายหลักทรัพย์ เพื่อดูผลกระทบต่อการลงทุนและมูลค่าการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ สรุปได้ว่าการสร้างระบบเพื่อรวบรวม คำนวณและวิเคราะห์กำไรจากการขายหุ้นนั้น มีต้นทุนสูงมาก จึงเลือกที่จะจัดเก็บภาษีจากธุรกรรมการขายเพื่อให้ง่ายต่อการวิเคราะห์
สรุป
อย่างไรก็ตาม เรื่องของการจัดเก็บภาษีขายหุ้น ยังคงไม่ได้บังคับใช้อย่างเป็นทางการในปัจจุบัน ซึ่งจะเห็นได้ว่ายังคงมีหลากหลายประเด็นและข้อกังวลใจที่เกี่ยวข้อง ทั้งอัตราในการจัดเก็บภาษี วิธีการในการจัดเก็บภาษี ระบบจัดเก็บภาษี
รวมถึงผลกระทบที่อาจจะเกิดขึ้นต่อสภาพคล่องของตลาดหลักทรัพย์หลักจากเกิดการจัดเก็บภาษีเรียบร้อยแล้ว ซึ่งทางหน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้องอย่างกระทรวงการคลังและตลาดหลักทรัพย์ต้องมีการศึกษากันต่อไป เพื่อให้ได้ระบบในการจัดเก็บภาษีที่มีคุณภาพ ตอบโจทย์เรื่องของการลดความเหลื่อมล้ำได้อย่างแท้จริง
สำหรับใครที่มองหาการลงทุนทั้งในระยะสั้น กลาง และยาว ทางธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB) ก็มี แอปพลิเคชัน SCB EASY ให้เลือกลงทุน ทั้งในกองทุนรวมของ SCBAM และกองทุนรวมชั้นนำจากบลจ.อื่นๆ รวมถึง พันธบัตร หุ้นกู้ หุ้นสามัญ / หน่วยทรัสต์ / หน่วยลงทุน เหมาะสำหรับทั้งมือใหม่ที่เพิ่งเริ่มลงทุนหรือนักลงทุนที่มีประสบการณ์ก็สามารถสนุกกับการลงทุนได้เช่นกัน โดยสามารถศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ https://www.scb.co.th/th/personal-banking/investment