10 คำถามยอดฮิต ว่าด้วยเรื่องประกันชีวิต

มนุษย์เรารู้จักการบริหารความเสี่ยงมาตั้งแต่สมัยโบราณ ไม่ว่าจะเป็นการเข้าไปอยู่ในถ้ำเพื่อป้องกันตนเองจากภัยธรรมชาติและสัตว์ป่า การทำโล่กำบังตนจากคมเขี้ยวและอาวุธ การติดลวดหนามหรือสัญญาณระวังภัยบริเวณที่อยู่อาศัยเพื่อซื้อเวลาในการหลบหนีหรือป้องกันตัว จนกระทั่งการบริหารความเสี่ยงนั้นถูกพัฒนาขึ้นมาเป็นธุรกิจประกันในที่สุด


ปัจจุบันการจะทำประกันชีวิตสักฉบับจะว่าเป็นเรื่องง่ายก็ไม่ใช่ จะว่าเป็นเรื่องยากก็ไม่เชิง แถมทุกวันนี้มีรูปแบบประกันให้เลือกยาวเหยียดเป็นหน้ากระดาษ จนตัดสินใจไม่ถูกว่าจะซื้อประกันแบบไหนดี เพื่อให้เห็นภาพของการบริหารความเสี่ยงด้วยการทำประกันชีวิตให้มากขึ้น ลองมาเริ่มต้นจากคำถามยอดฮิตกันดูบ้าง

life-insurance-696240469

1. ซื้อประกันของที่ไหนดี?

เราไม่สามารถนำแบบประกันทุกแบบของทุกที่มาเปรียบเทียบกันได้ แต่สิ่งที่เราทำได้คือถามตัวเองก่อนว่า เรากำลังมองหาประกันชีวิตเพื่อลดความกังวลด้านใดของเรา เช่น ด้านสุขภาพ ด้านหลักประกันให้ครอบครัว หรือความมั่นคงหลังเกษียณ จากนั้นก็ไปดูแบบประกันที่เกี่ยวข้องกับความกังวลของเรา อาจให้ตัวแทนขายประกันช่วยทำข้อมูลสรุปผลประโยชน์ของแบบประกันในลักษณะที่เราต้องการมาให้ก่อน แล้วลองเปรียบเทียบกับบริษัทประกันที่น่าเชื่อถืออื่นๆ เพิ่มเติม ซึ่งจะทำให้เห็นภาพชัดเจนขึ้นจากตัวเลือกที่ใกล้เคียงกัน


2. มีสวัสดิการของที่ทำงานแล้ว ต้องซื้อประกันสุขภาพด้วยหรือไม่?

ข้อนี้ตอบได้เลยว่า ถ้าอยากมีประกันสุขภาพไว้อุ่นใจยามเจ็บป่วย ซื้อเป็นของตัวเองดีที่สุด เพราะสวัสดิการของที่ทำงานไม่ได้ครอบคลุมไปจนถึงหลังเกษียณซึ่งเป็นช่วงเวลาที่เราน่าจะได้ใช้มากที่สุด ประกันส่วนตัวยังสามารถใช้ร่วมกับสวัสดิการของบริษัทเพื่อให้ครอบคลุมค่าใช้จ่ายได้มากขึ้นด้วย ซื้อไว้ตั้งแต่ยังมีสุขภาพแข็งแรงดีที่สุด จะได้ไม่มีข้อยกเว้นในการไม่คุ้มครองโรคที่เป็นมาก่อนทำประกัน และควรทำผูกไว้กับประกันชีวิตที่ได้ความคุ้มครองยาวไปจนถึงหลังเกษียณ อย่างประกันชีวิตแบบตลอดชีพ อย่าซื้อพ่วงกับแบบประกันที่มีระยะเวลาคุ้มครองน้อย เพราะประกันสุขภาพจะหมดเร็วตามไปด้วย และไม่แนะนำให้ซื้อประกันสุขภาพที่มาเดี่ยวๆ เพราะค่าเบี้ยประกันอาจถูกกว่า แต่โอกาสที่จะถูกปฏิเสธการต่ออายุในปีต่อไปมีสูงกว่า


3. ซื้อประกันไว้ลดหย่อนภาษี ควรซื้อแบบไหนดี?

การซื้อประกันควรเลือกที่ตอบโจทย์ความต้องการระยะยาวของเรา ส่วนผลประโยชน์ด้านภาษีขอให้มองเป็นผลพลอยได้ หากเราซื้อประกันลดหย่อนภาษีเพื่อต้องการหักภาษีเพียงอย่างเดียว จะได้ประโยชน์จากการทำประกันชีวิตไม่เต็มที่ และอาจทำให้หลายคนลืมนึกถึงความสามารถในการชำระเบี้ยประกันในระยะยาวจนได้ไม่คุ้มเสีย เพราะการนำค่าเบี้ยประกันมาลดหย่อนภาษีไปแล้ว ต่อมาเกิดจ่ายไม่ไหว จนต้องยกเลิกประกันชีวิตก่อนครบกำหนด 10 ปี (ตามเงื่อนไขของการยกเว้นภาษี) ก็จะต้องคืนเงินภาษีที่ได้ใช้สิทธิลดหย่อนไปก่อนหน้านี้ พร้อมกับเสียเงินเพิ่มให้กรมสรรพากรด้วย

กรมธรรม์บางฉบับไม่สามารถนำมาลดหย่อนภาษีได้ เพราะมีเงินคืนเกินกว่าที่กฎหมายกำหนด หรือมีระยะเวลาเอาประกันน้อยเกินกว่ากำหนด ดังนั้นหากจะนำค่าเบี้ยประกันชีวิตมาลดหย่อนภาษีก็ต้องถามให้แน่ใจด้วยว่ากรมธรรม์นั้นเข้าเกณฑ์ที่จะนำมาลดหย่อนภาษีด้วยหรือไม่ และหากจะนำมาลดหย่อนภาษีก็ควรเลือกแบบประกันที่สามารถใช้ลดหย่อนได้หลายปี เพื่อจะได้ตอบโจทย์ผลพลอยได้ทางภาษีอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย


4. ทำไมประกันชีวิตของเรา ไม่ดีเหมือนของคนอื่น?

คำว่า “สนามหญ้าหน้าบ้านคนอื่น มักเขียวกว่าบ้านเรา” ลอยขึ้นมาทันทีสำหรับคำถามนี้ ทำไมประกันของเธอดีกว่า ทำไมของเธอเคลมได้…ของเราเคลมไม่ได้ ทำไมของเขามีเงินคืน…ของเราไม่มี นั่นเพราะประกันชีวิตมีหลายรูปแบบ แต่ละแบบก็มีรายละเอียดต่างกัน ขึ้นอยู่กับว่าประกันชีวิตฉบับนั้นๆ เน้นบริหารความเสี่ยงด้านไหนให้เราเป็นพิเศษ

ยกตัวอย่างนาย เอก อยากมีประกันสุขภาพไว้ช่วยแบ่งเบาค่าใช้จ่ายกรณีเจ็บป่วยต้องนอนโรงพยาบาล แต่นาย เอก เงินเดือนยังไม่มาก เพื่อให้ตอบโจทย์ความคุ้มครองค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลให้ได้มากที่สุด ตัวแทนจึงไม่ได้เสนอค่าชดเชยรายวันกรณีเจ็บป่วยและต้องหยุดงานรวมไว้ในค่าเบี้ยที่ต้องจ่ายทุกปี เพราะไม่มีความจำเป็น จึงไปเน้นสิทธิประโยชน์ค่าห้อง ค่ารักษาพยาบาลให้แทน ถ้านาย เอก ต้องรักษาตัวที่โรงพยาบาลขึ้นมา ก็จะเคลมได้เฉพาะค่าใช้จ่ายที่ได้ทำประกันไว้ แต่ไม่สามารถเคลมค่าชดเชยรายวันได้นั่นเอง นอกจากนี้ยังมีปัจจัยอีกมากที่ทำให้ประกันชีวิต ประกันสุขภาพ ของแต่ละคนแตกต่างกัน เช่น อายุ เพศ อาชีพ จำนวนเงินเอาประกัน หรือแม้แต่การดำเนินชีวิตของแต่ละคน

5. ครอบครัวมีประวัติเป็นความดัน เบาหวาน มะเร็ง มีผลต่อการรับประกันสุขภาพหรือไม่?

การทำประกันสุขภาพเป็นเรื่องเฉพาะบุคคล หากเราไม่ได้เป็นโรคดังกล่าวก่อนการทำประกันก็หมดห่วงได้ เว้นแต่บริษัทประกันเห็นว่าเรามีความเสี่ยงด้านสุขภาพ เช่น น้ำหนักตัวมากเกินเกณฑ์ หรือเคยมีประวัติเข้ารับการรักษาอาการบางอย่าง ก็อาจต้องไปตรวจสุขภาพเพิ่มเติมตามรายการที่บริษัทกำหนด ซึ่งค่าตรวจสุขภาพส่วนใหญ่แล้วผู้ขอเอาประกันจะต้องเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายเอง แต่อาจมีข้อยกเว้น เช่น ตรวจแล้วพบว่าไม่มีปัญหาอะไร สามารถทำประกันได้ บริษัทประกันอาจจะออกค่าใช้จ่ายส่วนนี้ให้เรา หากวงเงินในการทำประกันของเราเข้าเงื่อนไขที่บริษัทกำหนด
 

6. มีประวัติการรักษาพยาบาลและเคยผ่าตัด จะทำประกันสุขภาพได้หรือไม่?

ใครที่มองหาประกันสุขภาพในวันที่มีโรคประจำตัว เคยผ่าตัด หรือมีประวัติการตรวจพบอาการผิดปกติบางอย่างแล้วก็อย่าเพิ่งหมดหวัง เราสามารถกรอกคำขอเอาประกันตามความเป็นจริงเพื่อส่งให้บริษัทประกันพิจารณาก่อนได้ บริษัทฯ อาจให้ตรวจสุขภาพเพิ่มเติม หรือไปขอประวัติการรักษาพยาบาลมาประกอบ ซึ่งผลการพิจารณาสามารถออกมาได้หลายแบบ ดังนี้

  • รับประกันตามปกติเลย ซึ่งถือว่าโชคดีมาก
  • รับประกันแต่ต้องจ่ายเบี้ยสุขภาพแพงขึ้น ข้อนี้ก็ถือว่าดี เพราะยังได้รับความคุ้มครองครบถ้วนเหมือนคนมีสุขภาพปกติทุกอย่าง
  • รับประกันแบบมีเงื่อนไขที่ว่า ไม่คุ้มครองโรคที่เกี่ยวข้องกับอาการผิดปกติที่เป็นมาก่อน ถ้าผลออกมาแบบนี้ถือว่าใช้ได้ เพราะยังได้รับความคุ้มครองในโรคอื่นๆ อยู่
  • ปฏิเสธการรับประกัน ข้อนี้ถือว่าแย่หน่อย แต่ถ้ากลับไปดูแลตัวเองให้ดีขึ้น จนอาการผิดปกติหายไป สุขภาพโดยรวมดีขึ้น ก็มีโอกาสที่จะมีประกันสุขภาพได้ในวันข้างหน้า


7. ประกันชีวิตแบบสะสมทรัพย์ ต่างจากเงินฝากอย่างไร
?
เงินฝาก” คือ เงินที่ฝากไว้ก่อน จะใช้เมื่อไหร่ค่อยถอนออกมา ในขณะที่ประกันออมทรัพย์ หรือประกันชีวิตแบบสะสมทรัพย์ คือ “เงินออม” ที่ได้รับความคุ้มครองชีวิตด้วย ถ้ายกเลิกก่อนกำหนดก็อาจขาดทุนเงินต้นได้ แต่หากสามารถเก็บออมในระยะยาวได้ตามเป้าหมายของการทำประกันแล้ว ดอกผลที่ได้จากเงินต้นที่เท่ากัน ระยะเวลาฝากที่เท่ากัน ประกันชีวิตแบบสะสมทรัพย์ถือว่าได้ประโยชน์จากการเก็บออมที่มากกว่า


8. ได้รับกรมธรรม์แล้วจะยกเลิกได้หรือไม่?

เมื่อได้รับกรมธรรม์แล้ว ควรรีบตรวจสอบรายละเอียดและเงื่อนไขในกรมธรรม์ให้รอบคอบ จุดไหนไม่เป็นไปตามที่คุยไว้ ก็ไม่จำเป็นต้องเซ็นรับกรมธรรม์นั้น หรือเกิดเปลี่ยนใจกะทันหันด้วยสาเหตุใดก็ตาม ให้รีบส่งคืนกรมธรรม์ไปยังบริษัทประกันภายใน 15 วัน นับแต่วันที่ได้รับกรมธรรม์ ซึ่งบริษัทจะคืนเบี้ยประกันที่เหลือจากการหักค่าตรวจสุขภาพที่จ่ายตามจริง (ถ้ามี) และค่าใช้จ่ายของบริษัทฉบับละ 500 บาท

กรณีที่ตัวแทนประกันชีวิตไม่ได้มาส่งมอบด้วยตัวเอง เราสามารถอีเมลแจ้งไปยังศูนย์ดูแลลูกค้าและตัวแทนที่ขายประกันได้ เพราะอีเมลเป็นลายลักษณ์อักษร และมีวัน เวลา ยืนยันให้เราได้

9. ค่าเบี้ยประกันควรอยู่ที่เท่าไร?

สาเหตุหลักที่คนยกเลิกกรมธรรม์เป็นเพราะขาดสภาพคล่องทางการเงิน ก่อนทำประกันจึงควรคิดถึงการเงินของตนเองด้วย โดยค่าเบี้ยประกันที่แนะนำจะอยู่ที่ 10% - 15% ของรายได้ต่อปี เช่น เรามีรายได้เดือนละ 15,000 บาท รายได้ต่อปีจะอยู่ที่ 180,000 บาท ก็เท่ากับว่าเบี้ยประกันที่น่าจะจ่ายไหวคือ 18,000– 27,000 บาทต่อปี แต่หากใครมีภาระหนี้สินอื่นๆ อยู่ด้วย ก็ต้องคำนวณให้ดีว่าไหวแค่ไหน


10. หากไม่สามารถจ่ายค่าเบี้ยประกันต่อไปได้ จะทำอย่างไร?

กรมธรรม์ทุกฉบับ จะมีแนวทางให้เลือก 3 แบบ สำหรับคนที่ไม่สามารถจ่ายค่าเบี้ยประกันต่อไปได้ ดังนี้

  1. การเวนคืนกรมธรรม์ (ยกเลิกกรมธรรม์) วิธีนี้จะมีผลให้ความคุ้มครองสิ้นสุดลง และจะได้รับเงินคืนตามที่ระบุไว้ในตารางเวนคืนกรมธรรม์ที่แต่ละคนถืออยู่

  2. การใช้เงินสำเร็จ กรณีนี้ผู้ถือกรมธรรม์ยังได้ความคุ้มครองตามกรมธรรม์อยู่ แต่จำนวนเงินเอาประกันจะลดลง โดยจำนวนเงินเอาประกันใหม่ดูได้จากตารางมูลค่าใช้งินสำเร็จที่แนบอยู่ในกรมธรรม์

  3. การขยายเวลา วิธีนี้จำนวนเงินเอาประกันภัยจะเท่าเดิม แต่ระยะเวลาคุ้มครองจะน้อยลง โดยดูได้จากตารางมูลค่าขยายเวลาในกรมธรรม์ของแต่ละคน


แม้เงินไม่อาจซื้อสุขภาพที่แข็งแรงหรือชีวิตที่ยืนยาวได้ แต่การเกิด แก่ เจ็บ ตาย ล้วนต้องใช้เงิน แม้เงินจะซื้อความปลอดภัยในทรัพย์สินไม่ได้ แต่การจะปกป้องทรัพย์สินก็ต้องใช้เงิน นั่นเป็นสาเหตุที่หลายๆ คนยอมที่จะจ่ายเงินส่วนหนึ่ง เพื่อรักษาเงินส่วนใหญ่ไว้ด้วยการซื้อประกันให้กับตนเองหรือครอบครัว และก่อนการตัดสินใจซื้อประกัน ควรศึกษาเงื่อนไขต่างๆ ให้ดี เพื่อให้หลักประกันนั้นตอบโจทย์ความต้องการของเรามากที่สุดภายใต้งบประมาณที่เรามี